![]() |
Breaking Night |
บทกล่าวนำ หนังสือเล่มนี้พาเราไปสัมผัสกับมุมมืดของสังคมอเมริกัน ที่ซึ่งยาเสพติด การลักเล็กขโมยน้อย การคดโกง และอาชญากรรม อยู่คู่กับลมหายใจของผู้คน แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมดังกล่าวมิใช่ความละโมบ ความกระหายอำนาจ หรือความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม หากได้แก่ความอ่อนแอและการดิ้นเพื่อความอยู่รอดเฉพาะหน้า ซึ่งหมายความทั้งการพ้นจากความหิวโหยและจากความอยากยา ผู้อ่านคงคิดไม่ถึงว่ากรุงนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอเมริกา อุดมด้วยมหาเศรษฐีระดับพันล้าน พรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์เหลือคณานับ แต่กลับมีคนจำนวนไม่น้อยยากไร้แม้กระทั่งอาหารประทังชีวิต พร้อมจะทำทุกอย่างไม่ว่าคุ้ยขยะ ลักขโมย ขายตัว หรือขายยา เพียงเพื่อมีอาหารใส่ท้อง การได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวันกลายเป็นของฟุ่มเฟือย เพราะแม้แต่ที่คุ้มหัวนอนก็ยังหายาก เนื่องจากเป็นคนไร้บ้าน มีหลายสาเหตุที่ผลักให้ผู้คนตกอยู่ในมุมมืดดังกล่าว เหตุผลหนึ่งซึ่งหนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดอย่างชัดเจนก็คือ ครอบครัวที่แตกสลาย ซึ่งเป็นผลจากพ่อหรือแม่ที่ติดยา เมาเหล้า หรือป่วยด้วยโรคจิต ทำให้บ้านไม่เพียงไร้ความอบอุ่นเท่านั้น หากเด็กยังถูกกระทำด้วยความรุนแรง จนต้องหลีกหนีออกจากบ้านเพื่อไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีทักษะหรือความพร้อมใด ๆ ที่จะช่วยให้อยู่รอดได้อย่างมีอนาคตในโลกที่ไม่ปรานีปราศรัย ร้ายกว่านั้นก็คือบาดแผลในจิตใจที่ยากแก่การเยียวยา ทำให้จิตใจเต็มไปด้วยพลังฝ่ายลบ ซึ่งมักจะผลักดันให้เจ้าตัวเลือกทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนเอง เช่น เข้าหาสุราหรือยาเสพติด รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ระมัดระวัง ผลก็คือชีวิตถลำลึกสู่ความตกต่ำยิ่งกว่าเดิม ชีวิตยิ่งตกต่ำย่ำแย่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพึ่งอบายมุขและหันเข้าหามิจฉาอาชีวะมากเท่านั้น เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รวดเร็ว แต่เป็นโทษในระยะยาว นี้คือเหตุผลว่าทำไมผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงไม่สามารถหยุดการทำร้ายตนเองได้ ต่างผลักตนให้จมปลักอยู่ในมุมมืดจนถอนตัวไม่ขึ้น มุมมืดดังกล่าวจึงแทบไม่ต่างจาก “หลุมดำ” ที่ใครก็ตามหลุดเข้าไปแล้วไม่สามารถออกมาได้ ใช่แต่เท่านั้นคนเหล่านี้เมื่อมีครอบครัว ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากพ่อแม่ของตน ทั้ง ๆ ที่ตนรู้สึกชิงชังพฤติกรรมดังกล่าว แต่กลับแสดงพฤติกรรมนั้นกับลูกของตนเอง ผลที่ตามมาก็คือ ลูกดำเนินรอยตามพ่อแม่ นั่นคือ หนีออกจากบ้านตั้งแต่ยังเยาว์ แล้วถลำเข้าสู่มุมมืดหรือหลุมดำ ครั้นมีลูก ก็ทำกับลูกอย่างที่พ่อแม่เคยทำกับตน สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมคาดเดาได้ไม่ยาก นั่นคือวงจรอันชั่วร้าย ที่กักขังคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ยากที่จะทลายออกมาได้ มิใช่แต่ครอบครัวเท่านั้น ที่จำนวนไม่น้อยกำลังทำร้ายเยาวชน แทนที่จะปกปักรักษาให้ปลอดภัย สถาบันต่าง ๆ ของรัฐ ไม่ว่าโรงเรียน สถานสงเคราะห์ รวมทั้งกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเขา ก็อาจมีส่วนในการผลักไสเขาให้เข้าสู่อ้อมกอดของมิจฉาชีพและปลักแห่งอบายมุข ทั้งนี้เพราะไม่เข้าใจสภาพปัญหาและเงื่อนไขของเยาวชนเหล่านี้ซึ่งล้วนมีบาดแผลอยู่ภายใน ยิ่งมีการใช้อำนาจกับเขา หรือปฏิบัติกับเขาโดยปราศจากความเคารพหรือมีเมตตาต่อเขา ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาดังกล่าวให้รุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กเหล่านี้เมื่อตกลงไปในหลุมดำแล้วเหตุใดจึงแทบไม่มีใครหลุดออกมาพบกับแสงสว่างได้ ความจริงเหล่านี้ถูกสะท้อนผ่านเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจของลิซ เมอร์เรย์ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ ๑๙ อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้มิได้มีแต่เรื่องราวอันโหดร้าย เจ็บปวด เท่านั้น แท้จริงแล้วนี้เป็นบันทึกที่ให้ความหวังและแรงบันดาลใจอย่างมีพลังยิ่ง เพราะเหตุว่าทั้ง ๆ ที่เธอประสบอุปสรรคขวากหนามมากมาย ในขณะที่ปัจจัยสนับสนุนก็มีน้อยมาก แต่เธอก็สามารถปีนป่ายออกจากหลุมดำได้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถทำสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยที่ได้เปรียบกว่าเธอมากนัก ไม่สามารถทำได้ นั่นคือ จากคนที่แทบไม่มีความรู้ใด ๆ ติดตัวเลยในวัย ๑๗ (เพราะหนีเรียนมาโดยตลอด) แถมเป็นคนไร้บ้าน แต่ภายในเวลาสองปีนอกจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย (ซึ่งคนทั่วไปใช้เวลาเรียนสี่ปีแล้ว) เธอยังพากเพียรจนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ นี้เป็นเรื่องราวของชัยชนะที่เกิดจากความมุ่งมั่นและความอุตสาหะ ตลอดสองปีที่ไร้บ้าน เธอต้องหอบหนังสือเรียนทั้งหมดรวมทั้งสมบัติเท่าที่มี สะพายใส่หลังไปทุกหนทุกแห่ง วันแล้ววันเล่าต้องดั้นด้นหาที่ทำการบ้านหรือเขียนรายงานในยามค่ำคืนหรือเช้ามืด บ่อยครั้งต้องอาศัยโถงทางเดินหรือบันไดในโรงเรียนเป็นที่ทำการบ้านและหลับนอน หากวันไหนจะไปนอนบ้านเพื่อน ก็ต้องแอบเข้าไปตอนดึก ๆ เมื่อพ่อแม่ของเพื่อนหลับแล้ว และรีบกลับออกมาก่อนที่พวกเขาจะตื่น ทั้ง ๆ ที่นอนไม่พอเป็นประจำ และเรียนมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว แต่เธอก็สามารถทำคะแนนได้อย่างดีเยี่ยมทุกวิชาจนเรียนจบโดยใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของคนทั่วไป อะไรทำให้เด็กสาวซึ่งไม่เคยสนใจเรียนตั้งแต่เล็กจนโต หนีเรียนเป็นชีวิตจิตใจ จนเป็นที่ระอาของครูทุกคน กลับมาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ คำตอบก็คือ การเห็นชีวิตที่ตกต่ำย่ำแย่ของคนรอบตัวโดยเฉพาะแม่ที่ติดยามาค่อนชีวิตและตายด้วยโรคเอดส์ เธอจึงเกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะถีบตัวออกจากชีวิตแบบนี้ ขณะเดียวกันก็เห็นว่ามีแต่การศึกษาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ได้ อย่างไรก็ตามไม่ง่ายเลยที่คนล้มเหลวมาโดยตลอดอย่างลิซจะมีความเชื่อมั่นว่าตนสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนได้ โชคดีที่ในที่สุดเธอได้มาพบครูดีที่เข้าใจวัยรุ่นอย่างเธอ ครูเหล่านี้ไม่เพียงฟังเธออย่างใส่ใจ ซึ่งบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญแก่ตัวเธอแล้ว ยังเชื่อมั่นในตัวเธออีกด้วย การที่ครูเชื่อมั่นในตัวเธอ ทำให้เธอเริ่มเชื่อมั่นในตนเอง นี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ที่เธอรู้จัก ไม่ว่า ครู นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ ล้วนมองเห็นเธอว่าเป็นคนล้มเหลว จึงทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้นกับตัวเองด้วย แต่เมื่อได้พบครูที่เห็นว่าเธอสามารถทำได้มากกว่าที่เธอคิด พลังบวกในตัวเธอที่กบดานมานานก็ตื่นตัวขึ้น ทำให้เธอพร้อมทำงานหนักเพื่อบรรลุถึงสิ่งที่ครูคาดหวังในตัวเธอ ครูเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอรักโรงเรียนและรักการเรียน จนพร้อมจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อการเรียน ลิซได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทุกคนมีศักยภาพอันเหลือประมาณ แม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยอย่างเธอ ก็มีศักยภาพไม่น้อย หากเห็นและนำศักยภาพนั้นมาใช้ก็สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่คาดคิด เรื่องราวของเธอยังบอกอีกว่า ถึงแม้เรามีทุนติดลบ มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการสร้างทุนในปัจจุบัน ชีวิตของเราจะเจริญงอกงามหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอดีตความเป็นมาของเราเป็นอย่างไร หากอยู่ที่การกระทำของเราในปัจจุบัน แม้มีอดีตที่เจ็บปวด ตกต่ำย่ำแย่ แต่หากเริ่มต้นใหม่ด้วยความพากเพียรพยายาม ก็สามารถฟื้นฟูชีวิตให้งอกงามได้ พูดอย่างพุทธก็คือ กรรมในอดีตไม่สำคัญเท่ากับกรรมในปัจจุบัน หากมีความเพียร ก็สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าปล่อยให้อดีตมาครอบงำกำหนดชะตาชีวิตของเรา จะมีชีวิตอย่างไรเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แม้จุดหมายปลายทางดูห่างไกลอย่างยิ่ง แต่อย่างน้อยมีสิ่งหนึ่งที่เราเลือกได้นั่นคือก้าวต่อไปเราจะทำอะไร และเมื่อจะเลือกก็ควรเลือกสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะทำได้ยาก แต่หากมุ่งมั่นพยายามก็ไม่เหลือวิสัยที่จะทำให้สำเร็จได้ จะว่าไปแล้วเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ลิซเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างหักมุมก็เพราะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอันเกิดจากการเลือกของตน แม้เป็นจุดมุ่งหมายที่มิได้ไกลเกินกว่าการเรียนมัธยมปลายให้จบในสองปี แต่มันทำให้ชีวิตของเธอมีทิศทางและเกิดความพากเพียรตามมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบนเส้นทางดังกล่าวย่อมมีสิ่งยั่วยวนให้ล้มเลิกนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งนิสัยความเคยชินเดิม ๆ ที่ค่อยเหนี่ยวรั้งเอาไว้ แต่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้ทำให้เธอฮึดสู้ จนสามารถเอาชนะมันได้ในที่สุด เรื่องราวของลิซชี้ให้เห็นชัดว่า อุปสรรคที่น่ากลัวที่สุด มิได้อยู่นอกตัวเลย มิใช่ทั้งความยากจน ความหิวโหย การไร้บ้าน หรือการเรียนที่หนักอึ้ง แต่อยู่ในใจเธอนั้นเอง หากชนะมันได้ อุปสรรคอย่างอื่นก็เป็นเรื่องเล็ก ใช่หรือไม่ว่า ชัยชนะที่สำคัญที่สุดก็คือการชนะใจตนเอง จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง มิใช่เป็นเพียงเรื่องราวของเด็กสาวอเมริกันที่ฝ่าพ้นความมืดจนพบแสงสว่างเท่านั้น หากยังสะท้อนถึงพลังอันไม่มีประมาณที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตให้พ้นจากความทุกข์ได้ทั้ง ๆ ที่สิ่งกีดขวางมีมากมายนานัปการ จึงเป็นหนังสือที่สามารถให้แรงบันดาลใจแก่ทุกคนได้ ขณะเดียวกันหนังสือเล่มนี้ยังเป็นเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องไปยังมุมมืดของสังคม ทำให้ความเจ็บปวดของผู้คนที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมดังกล่าวปรากฏต่อการรับรู้ของเราชัดเจนขึ้น รวมทั้งได้ตระหนักว่าเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา มีความมุ่งมาดปรารถนาและใฝ่ดีเหมือนเรา แต่ขาดโอกาสอย่างเรา สิ่งที่เขาต้องการจากเรามิใช่ความสมเพทเวทนา แต่เป็นความเข้าอกเข้าใจต่างหาก สำหรับผู้เป็นพ่อแม่และครูบาอาจารย์ จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง น่าจะช่วยให้เราเข้าใจลูกและศิษย์ของเรามากขึ้น ว่าอะไรทำให้เขาหันหลังให้กับบ้านและโรงเรียน หรือมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม แม้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของสังคมอเมริกันล้วน ๆ แต่ก็ให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์แก่สังคมไทยได้ไม่น้อย พระไพศาล วิสาโล |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|