![]() |
ใกล้แสนใกล้ ไกลแสนไกล |
เดวิด เซอร์วอง ชไรเบอร์ เป็นศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส ที่ผ่านงานวิจัยมานับไม่ถ้วน คราวหนึ่งเขาทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับสมอง โดยให้อาสาสมัครดูภาพที่รุนแรงน่ากลัว ขณะเดียวกันก็มีการตรวจวัดคลื่นสมองของอาสาสมัครด้วยเครื่อง MRI อาสาสมัครผู้หนึ่งเป็นนักวิจัยสาวในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา หลังจากที่ฉายภาพดังกล่าวให้เธอดูพักใหญ่ หัวใจของเธอก็เต้นแรงมาก ความดันเลือดพุ่งพรวดจนอยู่ในระดับที่ไม่ปกติ เขารู้สึกเป็นห่วงเธอ จึงแนะนำว่าควรหยุดการทดลองนี้ เธอมีสีหน้าแปลกใจ แล้วบอกกับเขาว่าเธอสบายดี ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ภาพเหล่านี้ไม่มีผลต่อเธอ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงคิดหยุดการทดลอง คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจ เพราะร่างกายของเธอฟ้องชัดเจนว่าเธอกลัว แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่ากำลังมีความกลัว เขารู้ในเวลาต่อมาว่าเธอมีเพื่อนน้อยมาก เพื่อนร่วมงานของเธอไม่มีใครที่ชอบเธอเลย ทั้ง ๆ ที่เธอฉลาดหลักแหลมแต่ไม่มีใครอยากทำงานกับเธอ หลายคนสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร บ้างก็คิดว่าเป็นเพราะเธอพูดแต่เรื่องของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่นเลย ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครอยากคบเธอเลย แต่เดวิดคิดว่าเขารู้คำตอบ ปัญหาสำคัญของเธอก็คือ การไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ส่งผลให้เธอมืดบอดต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น เธอจึงพูดหรือทำอะไรต่ออะไรที่กระทบความรู้สึกของคนอื่นอยู่เนือง ๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้ใคร ๆ ไม่อยากคบเธอ หรือทำงานร่วมกันกับเธอ อารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง เกิดขึ้นเมื่อใดใจก็น่าจะรับรู้ได้ทันที แต่นับวันผู้คนที่ไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถูกถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรขณะนี้” หรือ “เมื่อกี้รู้สึกอย่างไร” หลายคนกลับตอบไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร บางคนเอาความคิดในหัวของตนมาตอบ นั่นเป็นเพราะทุกวันนี้ผู้คนเหินห่างแปลกแยกกับตัวเองมาก เนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับสิ่งภายนอกมากเกินไป เช่น งานการ เงินทอง จนละเลยความรู้สึกของตน หาไม่ก็ใช้ “สมอง”มากเกินไป จนลืมใช้ “หัวใจ”ของตน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเป็นอันมากทั้ง ๆ ที่กำลังหงุดหงิด แต่กลับไม่รู้ตัวว่าหงุดหงิด จริงอยู่คนที่ด้านชาต่ออารมณ์ของตน และมืดบอดต่ออารมณ์ของคนอื่น อย่างนักวิจัยสาวผู้นั้น อาจมีไม่มาก แต่เธอก็เป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนมากมายในปัจจุบัน นอกจากเหินห่างแปลกแยกกับอารมณ์ของตนแล้ว หลายคนยังมีอาการดังกล่าวแม้กระทั่งกับร่างกายของตน เดวิดพบว่าแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลของเขาหลายคนมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน กล่าวคือ หลังจากทำงานอย่างหนักตลอดทั้งวันติดต่อกันวันแล้ววันเล่า แถมยังต้องเข้าเวรดึก หรือถูกเรียกตัวกลางดึกอาทิตย์ละหลายครั้ง คนเหล่านี้เมื่อเสร็จงานก็เดินไปยังร้านฟาสต์ฟูดทันทีราวกับว่านั่นคือสิ่งที่ร่างกายต้องการ อันที่จริงร่างกายของคนเหล่านี้ส่งสัญญาณว่าต้องการพักผ่อน แต่เป็นเพราะเขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างทุกข์เพราะเหนื่อยล้า กับ ทุกข์เพราะหิว ดังเมื่อเหนื่อยล้าขึ้นมา แทนที่จะไปนอนสักงีบ กลับตรงไปหาของกินทั้ง ๆ ที่ดึกแล้ว ผลก็คือคนเหล่านี้อ้วนเอา ๆ ขณะที่ร่างกายก็เหนื่อยล้าขึ้นเรื่อย ๆ นี้คงเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดผู้คนยุคนี้ยิ่งเครียดยิ่งล้าก็ยิ่งอ้วนขึ้น ๆ ฉลาดแค่ไหน รวยเพียงใด ก็ไม่ควรลืมกายและใจ แต่หากเหินห่างแปลกแยกกับใจและกายของตน ก็เท่ากับไม่รู้จักตัวเอง และเมื่อไม่รู้จักตัวเองเสียแล้ว จะมีความสุขหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|