![]() |
นิตยสารสารคดี
: ฉบับที่ ๓๑๘ :: สิงหาคม ๕๔ ปีที่ ๒๗
แบ่งปันบน
facebook Share
|
ขึ้นชื่อว่าหมอ ก็ต้องพร้อมทำงานในทุกสถานการณ์เพราะความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แต่บางครั้งหมอก็ทำใจยากหากเจอคนไข้ที่มาหาในเวลาที่ไม่สมควรมา
หมอผู้หนึ่งเล่าว่า คืนหนึ่งขณะที่อยู่เวรดึก ประมาณตี ๔ ได้ถูกปลุกให้มาตรวจคนไข้คนหนึ่งซึ่งเพิ่งมาถึง ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดมาก อดบ่นในใจไม่ได้ว่า "ทำไมถึงมาตอนนี้" ยิ่งมารู้ว่าคุณลุงวัย ๖๐ ผู้นี้ไม่ได้เป็นโรคปัจจุบันทันด่วน เป็นแต่ปวดหัวมาได้ ๑๐ วันแล้ว หมอก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะไม่มีความจำเป็นที่แกต้องมาเวลานี้เลย หมอเก็บความรู้สึกเอาไว้เมื่อเจอคนไข้ ระหว่างที่ซักประวัติ คนไข้เล่าว่าตลอด ๑๐ วันที่ผ่านมา พยายามหายามากินเอง แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย อยากจะมาหาหมอ แต่ลูก ๆ ไม่มีใครว่างมาส่งตอนกลางวัน จึงต้องทนเอา ครั้นรู้ว่าวันนี้คนข้างบ้านจะออกมาตลาดสดตอนตี ๓ จึงขอติดรถมาด้วย ทันทีที่หมอรู้ความเป็นมาของคนไข้ ความรู้สึกหงุดหงิดก็หายไป
ความเห็นใจมาแทนที่ หมอผู้นี้เล่าว่า นับแต่นั้นมาเวลาตรวจคนไข้ จะลองสมมุติว่า ถ้าคนไข้เป็นพ่อแม่หรือน้องของเรา เราอยากให้หมอพูดหรือปฏิบัติกับเขาอย่างไร การมองในแง่นี้ทำให้หมอปฏิบัติกับคนไข้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็พบว่าความรู้สึกได้เปลี่ยนไปด้วย จากเดิมที่รู้สึกหงุดหงิดกับคนไข้ ก็กลายเป็นความรู้สึกสงบ ใจเย็น และเห็นใจคนไข้มากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ มีความสุขกับการตรวจรักษาคนไข้ ไม่เป็นทุกข์กับจำนวนคนไข้ที่มีมากมาย เมื่อมีเหตุการณ์กระทบใจเรา ความหงุดหงิดหรือความสงบนิ่ง สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมันอย่างไร หรือมองในมุมไหน ถ้ามองจากมุมของตัวเอง หรือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เราย่อมหงุดหงิดเมื่อถูกปลุกตี ๔เพื่อไปตรวจคนไข้เพราะถูกรบกวนเวลานอน แต่หากมองจากมุมของผู้อื่น หรือรับรู้ความทุกข์ยากของเขา เราก็จะมีแต่ความเห็นใจ ไม่มีความขุ่นเคืองใด ๆ ที่จะเผาลนจิตใจให้รุ่มร้อน บ่อยครั้งเรานึกถึงแต่ความทุกข์ของตนเอง จนไม่สนใจรับรู้ความทุกข์ของผู้อื่น การทำเช่นนั้นกลับทำให้เราทุกข์มากขึ้น เพราะยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ความทุกข์ของตนเองก็เป็นเรื่องใหญ่โตมากเท่านั้น จนลืมไปว่าที่จริงแล้วความทุกข์ของเรานั้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของคนอื่น หมออีกผู้หนึ่งเล่าว่าเมื่อจบแพทย์ใหม่ ๆ ไปทำงานในโรงพยาบาลชุมชน ตั้งใจว่าจะเป็นหมอที่ดี เวลาตรวจคนไข้นอกตอนเช้า จะตรวจให้หมดแม้ว่าเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว เพราะถ้าให้คนไข้รอตรวจตอนบ่ายอาจจะหารถกลับบ้านลำบาก วันหนึ่งมีคนไข้มาก หมอตรวจทั้งเช้าโดยไม่ได้พักเลย กว่าคนไข้จะหมดก็เป็นเวลาบ่ายโมง เมื่อเดินออกจากห้องตรวจ พบคุณลุงคนหนึ่งเพิ่งทำบัตรคนไข้เสร็จ แกขอให้หมอตรวจให้ด้วยเพราะไม่สบายมาก หมอรู้สึกไม่พอใจมาก เพราะเลยเวลาตรวจมานานแล้ว จึงพูดด้วยอารมณ์ว่า "คุณลุงทำไมเพิ่งมาตอนนี้ รู้ไหมหมอยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย" "ขอโทษคุณหมอ ลุงออกจากบ้านตี ๓ รถเขาเพิ่งมาถึง พยายามมาให้ทันหมอ ลุงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย" พอได้ยินเช่นนั้น หมอก็หายโกรธทันที เพราะได้ตระหนักว่าทุกข์ของคุณลุงนั้นมากกว่าตนเองเยอะ หมอท่านนี้เล่าว่าเหตุการณ์วันนั้นเป็นบทเรียนสำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งในชีวิต คนเรานั้นมีทั้งความเห็นแก่ตัวและเมตตากรุณาอยู่ในใจ การมองจากมุมของตัวเองบ่อยครั้งเป็นการกระตุ้นเร้าความเห็นแก่ตัว ทำให้ความต้องการของตนเองกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าอะไรอื่น ดังนั้นเมื่อมีสิ่งใดที่ขัดกับความต้องการของตนเอง ก็จะรู้สึกไม่พอใจหรือโกรธเคืองขึ้นมาทันที ในทางตรงข้ามเมื่อมองจากมุมของคนอื่น หรือเปิดใจรับฟังเขา โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์ เมตตากรุณาในใจเราจะถูกปลุกขึ้นมา ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และปรารถนาที่จะช่วยเหลือเขาโดยไม่คำนึงถึงความลำบากของตนเอง ดังนั้นแม้เหนื่อยกายแต่ใจไม่ทุกข์ คนที่มองจากมุมของผู้อื่นจึงสามารถเป็นสุขได้ง่ายกว่าคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง การมองจากมุมของผู้อื่น ยังทำให้เราพร้อมที่จะขอโทษเมื่อทำผิดพลาดขึ้น เพราะเมื่อรู้ว่าผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของเราโดยไม่ได้ตั้งใจ เราย่อมสงสาร เห็นใจและปรารถนาที่จะบรรเทาความทุกข์ของเขาก่อนอื่นใด ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจะทำโดยไม่รั้งรอคือ กล่าวคำขอโทษ หรือ แสดงความเสียใจ แต่สำหรับคนที่นึกถึงแต่ตัวเองหรือมองจากมุมของตัวเองอย่างเดียว อย่างแรกที่เขาจะทำคือ ปกป้องตนเองและยืนกรานว่าฉันไม่ผิด เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว ดังนั้นแทนที่จะขอโทษ ก็จะมัวหาข้อแก้ตัว รวมทั้งสรรหาเหตุผลต่าง ๆ นานามายืนยันความถูกต้องของตน ซึ่งเท่ากับซ้ำเติมความทุกข์และเพิ่มความขุ่นเคืองให้แก่อีกฝ่าย ผลก็คือเกิดการทะเลาะวิวาทหรือฟ้องร้องกัน ทำให้เกิดความทุกข์แก่ทั้งสองฝ่าย ใช่หรือไม่ว่าความผิดพลาดลุกลามกลายเป็นเรื่องร้ายแรงกว่าเดิม ก็เพราะการไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย หากคิดแต่จะปกป้องตนเอง เมื่อหลายปีก่อนมีคนไข้คนหนึ่งมารับการรักษาเพราะเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่หลังจากที่แพทย์ฉีดยาชาเข้าสันหลัง หัวใจของคนไข้ก็หยุดเต้น แม้จะช่วยกันกู้ชีพขึ้นมาได้ แต่หลังจากนั้น ๑๕ วันคนไข้ก็เสียชีวิต ลูกของคนไข้ต้องการคำอธิบายจากหมอว่าเกิดอะไรขึ้น หากเป็นความผิดพลาดของหมอ ก็ขอให้หมอและโรงพยาบาลทำบุญเลี้ยงพระและขอโทษแม่ของเขา แต่หมอปฏิเสธ ส่วนหนึ่งเพราะได้รับการแนะนำจากหมอรุ่นพี่ว่า ไม่ควรขอโทษ เพราะจะทำให้ญาติรู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของหมอ ผลก็คือญาติฟ้องกระทรวงสาธารณสุข เรื่องน่าจะจบเพียงเท่านี้เมื่อศาลพิพากษาให้กระทรวงสาธารณสุขชดใช้เป็นจำนวน ๖ แสนบาท แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่ยอมจ่าย และอุทธรณ์ว่าคดีขาดอายุความ ดังนั้นญาติคนไข้จึงหันไปพึ่งศาลอาญา คราวนี้ฟ้องหมอผู้ผ่าตัดและผู้ให้ยาชา ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหมอผู้ให้ยาชามีความผิด และเนื่องจากหมอไม่ได้บรรเทาผลร้ายแก่ญาติผู้ตาย อีกทั้งยังให้การปฏิเสธตลอดมา จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษให้ หมอผู้นั้นจึงถูกจำคุก ๓ ปีโดยไม่มีการลดโทษหรือรอลงอาญา เรื่องนี้ตรงข้ามกับอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งแม้จะลงเอยด้วยการตายของคนไข้เช่นเดียวกัน แต่ในที่สุดหมอกับญาติคนไข้ปรับความเข้าใจกันได้ ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกญาติของคนไข้ยกพวกมาที่โรงพยาบาลเพื่อจะเอาเรื่องกับหมอ แต่หมอกับผู้อำนวยการไม่เพียงต้อนรับญาติคนไข้อย่างดี หากยังรับรู้ความเศร้าโศกเสียใจของเขา จึงเอ่ยปากขอโทษและแสดงความเสียใจ อีกทั้งยังชวนคณะหมอและพยาบาลไปร่วมพิธีศพพร้อมทั้งรับเป็นเจ้าภาพงานศพด้วย ผู้อำนวยการเล่าว่าตอนที่เดินเข้าหมู่บ้านไปยังวัดเย็นนั้น รู้สึกหวั่นวิตกต่อปฏิกิริยาของชาวบ้านเพราะรู้ดีว่ามีชาวบ้านบางคนโกรธแค้นมาก อยากขับไล่หมอเจ้าของไข้ให้พ้นจากพื้นที่ แต่ปรากฏว่าชาวบ้านส่วนใหญ่กลับเห็นใจหมอ บางคนถึงกับพูดว่า "เราเสียชาวบ้านไปหนึ่งคนแล้ว อย่าถึงกับต้องเสียหมอไปอีกคนหนึ่งเลย" ในที่สุดหมอกับชาวบ้านก็กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนเดิม มนุษย์เรามีความสามารถที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ความสามารถดังกล่าวจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ไม่ผิด เวลาเราเห็นคนยิ้ม เราก็รู้สึกดีตามไปด้วย แต่เมื่อเห็นคนร่ำไห้ ใจเราก็เศร้าตามเขา บางครั้งก็อดน้ำตาซึมไปด้วยไม่ได้ แม้แต่เด็กทารกก็ยังมีปฏิกิริยาดังกล่าว คุณสมบัติดังกล่าวเป็นสะพานเชื่อมเรากับผู้คนให้เป็นมิตรกันและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ในยามที่เกิดความขัดแย้งหรือมีเรื่องกระทบใจ เรามักจะหันมาปกป้องตนเอง และไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งบ่อยครั้งกลับทำให้ความขัดแย้งลุกลามขึ้นแม้กระทั่งกับคนใกล้ตัว เช่น สามีภรรยา หรือมิตรสหาย ในสภาพเช่นนี้ การใช้เหตุผลเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของตนไม่สำคัญเท่ากับการเปิดใจรับฟังความรู้สึกหรือมุมมองของกันและกัน เพราะนั่นจะเปิดช่องให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกันกัน และสามารถคืนดีกันได้ในที่สุด เราทุกคนล้วนอยากให้ใคร ๆ เข้าใจเรา แต่เขาจะเข้าใจเราได้อย่างไร หากเราไม่เป็นฝ่ายเปิดใจเพื่อเข้าใจเขาก่อน เมื่อใดที่เราพยายามเข้าใจเขา รับรู้ความรู้สึกหรือมุมมองของเขา ไม่นานเขาก็จะเปิดใจฟังเรา เข้าใจเรา หรือถึงกับเชื้อเชิญให้เราเข้าไปนั่งในหัวใจเขา มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งนัสรูดินไปเยี่ยมเพื่อน แต่เพื่อนปิดประตูบ้าน นัสรูดินจึงเคาะประตู เพื่อนจึงถามว่า "นั่นใคร" "ฉันเอง"นัสรูดินตอบ ปรากฏว่าเพื่อนนิ่งเงียบ
ไม่เปิดประตูบ้าน นัสรูดินตะโกนบอกว่า "ฉันเอง"กี่ครั้ง ๆ นัสรูดินตอบว่า "ท่านไงล่ะ" สักพักประตูบ้านก็เปิด แล้วเพื่อนก็เชื้อเชิญให้นัสรูดินเข้าไปในบ้าน คุณทราบหรือไม่ว่าทำไมประตูบ้านจึงเปิดรับนัสรูดินในที่สุด? |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|