หน้ารวมบทความ
   บทความ > สันติภาพ สันติวิธี > ปัญญาและกรุณาจะพาสังคมไทยให้คืนดี
กลับหน้าแรก

ปัญญาและกรุณาจะพาสังคมไทยให้คืนดี

พระไพศาล วิสาโล
ปาฐกถาเปิดงาน "เยียวยาด้วยรัก"
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
ตึก ส.ก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
จัดโดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ

แบ่งปันบน facebook Share   

วันนี้บ้านเมืองเรายังอยู่ภายใต้บรรยากาศแห่งความหม่นหมอง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีการคืนดีกัน เพราะถ้าเราไม่สามารถคืนดีกันได้ ความเจ็บปวด ความแตกร้าว และความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นไม่จบ แต่การคืนดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราจะต้องทำให้ความดีกลับคืนสู่จิตใจของทุกฝ่าย ถ้าหากว่าความดียังไม่สามารถกลับคืนสู่จิตใจของทุกฝ่ายได้ การคืนดีย่อมเป็นไปได้ยาก จะมีก็แต่การกลบเกลื่อนปัญหาชั่วคราว รอวันที่ความร้าวฉานและการเบียดเบียนกันจะเกิดขึ้นอีก

เราจะต้องช่วยกันทำให้ความดีกลับคืนสู่จิตใจของผู้คน แต่ตอนนี้ความดียังกลับคืนสู่ใจของผู้คนได้น้อยมาก อะไรทำให้ความดีกลับคืนสู่จิตใจของผู้คนน้อยมาก ก็เพราะว่าในจิตใจของผู้คนนั้นยังอัดแน่นอยู่ด้วยความโกรธเกลียด ตราบใดที่ยังมีความโกรธเกลียดอัดแน่นอยู่ในหัวใจ ก็ยากที่จะความดีจะกลับคืนสู่จิตใจของผู้คน และทำให้การคืนดีกันเป็นไปได้ยาก

ทำไมเราถึงโกรธเกลียดกัน ก็เพราะว่าเราต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นศัตรู ที่เห็นเป็นศัตรูเพราะเราไม่สามารถมองทะลุฉลาก สีเสื้อ หรือป้าย ที่ต่างประทับให้แก่กันและกันได้ สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน จะเห็นก็แต่ความเป็นปีศาจ ความเป็นยักษ์มารซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจของอคติ เมื่อเราเห็นแต่ละฝ่ายเป็นปีศาจเป็นยักษ์เป็นมาร ความโกรธเกลียดก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือเราจะต้องมองทะลุฉลากหรือป้ายที่ติดให้กันและกัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปลดป้ายที่ให้แก่กันและกัน ดึงฉลากเหล่านั้นออกมา เพื่อที่เราจะได้เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันมากขึ้น อาตมาเชื่อว่าถ้าเราเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เราจะโกรธเกลียดกันน้อยลง เพราะเมื่อเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เราก็จะตระหนักว่าเราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมโลก เมื่อเห็นเช่นนี้ความโกรธเกลียดก็จะลดลง ความดีจะมีโอกาสงอกงามขึ้นในใจ ตราบใดที่ความโกรธเกลียดครองใจ ก็ยากที่ความดีงามจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้นสิ่งที่สังคมไทยต้องการอย่างยิ่งในเวลานี้ ก็คือการที่เราสามารถเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันให้ได้ และเมื่อเราเห็นซึ่งกันและกันเป็นมนุษย์แล้ว เราจะเห็นใจกัน ความรักความเมตตาจะงอกงามขึ้นในใจ เมื่อเรามีความรักความเมตตาในจิตใจแล้ว เราก็จะสามารถหยิบยื่นความรัก ความเมตตาให้แก่ผู้อื่นได้

ความรักความเมตตานั้นมีอานุภาพมาก ถ้าหากเรามอบความรักความเมตตา หรือมีไมตรีจิตให้แก่ผู้ใด ไมตรีจิตนั้นแหละจะสามารถขับไล่ความโกรธความเกลียดไปจากจิตใจของเขาได้ เมื่อเราโกรธใครสักคน แต่คนนั้นกลับดีกับเรา ยิ้มให้เรา เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรา เราจะยังโกรธเขาได้อยู่หรือ ความโกรธนั้นไม่สามารถจะทนทานไมตรีที่ผู้อื่นได้หยิบยื่นให้

วันนี้สิ่งที่สังคมไทยต้องการอย่างมากก็คือการยื่นไมตรีให้แก่กันและกัน แต่เราจะยื่นไมตรีให้แก่คนอื่นไม่ได้เลยถ้าหากเราไม่มีเมตตากรุณาอยู่ในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เราจะมีเมตตากรุณาได้อย่างไร ถ้าเรามองเห็นผู้อื่นเป็นศัตรู หรือมองเห็นเขาเป็นยักษ์เป็นมาร ดังนั้นจำเป็นมากที่เราจะต้องลดอคติต่อกัน

นอกจากความโกรธความเกลียดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้มีการคืนดีกัน ก็คือ ความรู้สึกเจ็บปวด ถ้าหากเราไม่ได้ทำอะไรกับความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน การคืนดีก็เกิดขึ้นไม่ได้ ตรงนี้แหละที่เมตตากรุณามีบทบาทสำคัญ เพราะเมตตากรุณาจะช่วยเปิดใจให้เราเห็นความทุกข์และความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ การเห็นความทุกข์และเข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น จะสามารถเยียวยาและสมานบาดแผลในใจของเขาได้

สาเหตที่ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ก็คือการที่เราจมอยู่กับความเจ็บปวดของเราเอง เมื่อเราจมอยู่กับความเจ็บปวดของเรา เราจะรู้สึกว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียว เราจะไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น ขณะนี้ความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ทุกฝ่ายล้วนเป็นผู้สูญเสีย ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่เป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว ผู้อื่นก็ถูกกระทำด้วย หากเราเปิดใจมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่น มองเห็นว่าผู้อื่นก็ถูกกระทำด้วยเหมือนกัน มองเห็นว่าคนอื่นก็เจ็บปวด สูญเสียทรัพย์ สูญเสียคนรัก สูญเสียอวัยวะ สูญเสียอนาคต เราจะมีความเห็นใจกันมากขึ้น เราจะรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์

ความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์จะทำให้เราเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ช่องว่างระหว่างกันจะน้อยลงความเห็นใจจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเรารู้สึกว่า เราต่างร่วมชะตากรรมเดียวกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อเยียวยาความเจ็บปวดก็จะเกิดขึ้น ตรงนี้เองที่จะทำให้เมตตากรุณาเบ่งบานขึ้น เพราะเมตตากรุณาหมายถึงความรักความปรารถนาดีที่จะให้ผู้อื่นมีความสุขและพ้นจากความทุกข์

เมื่อประมวลกันแล้วก็กล่าวได้ว่าการคืนดีจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเมตตากรุณา และเมตตากรุณานั้นจะต้องมีพื้นฐานจากปัญญาคือการมองเห็นความจริงอย่างปราศจากอคติ ดังได้กล่าวแล้วว่าถ้าเรามีอคติต่อกัน มองซึ่งกันและกันว่าเป็นปีศาจเป็นมารหรือเป็นยักษ์ ไม่สามารถเห็นความเป็นมนุษย์ของเขา ย่อมเป็นการยากที่เราจะยื่นไมตรีให้กับใครก็ตาม เมตตากรุณาที่มีปัญญาเป็นเครื่องกำกับเป็นสิ่งสำคัญมากในเมืองไทย เพราะว่าหากปรารถนาให้มีการเยียวยา ประสานช่องว่างของผู้คนในสังคม สร้างสะพานเพื่อให้เกิดการคืนดีกัน ถึงที่สุดแล้วเราต้องทำมากกว่าการประสานอารมณ์ ประสานความรู้สึก แต่ต้องรวมไปถึงการประสานช่องว่างในสังคมด้วย

ขณะนี้ช่องว่างในสังคมถ่างกว้างมาก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยหลายปีที่ผ่านมาเป็นผลสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความไม่เป็นธรรมในสังคมเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความขัดแย้งในหมู่ผู้คนซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าและต่อสู้ทางการเมือง ทำให้เกิดความแตกแยกที่ร้าวลึก เราจะมองไม่เห็นความจริงเหล่านี้ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาพิจารณาตามหลักอริยสัจสี่เพื่อสาวหาถึงสมุทัยคือรากเหง้าของความทุกข์หรือความแตกร้าวของสังคม

ถ้าเราไม่สามารถทำให้สังคมไทยมีความเป็นธรรมมากขึ้น ไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความรู้สึกเจ็บปวดก็จะลุกลามและเรื้อรัง การเยียวยาที่เกิดจากการยื่นไมตรีให้ก็จะเป็นแค่การเยียวยาที่ให้ผลชั่วคราว การเยียวยาที่จะให้ผลยั่งยืน และนำไปสู่การคืนดีอย่างยั่งยืน ต้องรวมไปถึงการทำให้สังคมมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ นอกจากจะทำให้ความดีกลับคืนสู่จิตใจของผู้คนแล้ว เราต้องทำให้ความดีกลับคืนสู่บ้านเมืองของเราด้วย

ความดีในจิตใจนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อมีการยื่นไมตรีให้แก่กันและกัน มีการปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตาและกรุณา โดยปราศจากอคติ โดยปัญญาที่เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของกันและกัน หรือเข้าใจความทุกข์ของกันและกัน แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องเปลี่ยนไมตรีจิตหรือเมตตากรุณาในจิตใจให้เป็นพลังทางสังคม เพื่อให้สังคมของเรามีความเป็นธรรมมากขึ้น เป็นสังคมที่เป็นมิตรกับความดี อาตมาไม่มีเวลาอธิบายว่าสังคมไทยตอนนี้เป็นปฏิปักษ์กับความดีอย่างไรบ้าง มันทำให้ความดีไม่สามารถแพร่ซึมสู่จิตใจของผู้คนอย่างไรบ้าง แต่อยากจะพูดสั้นๆ ว่าเราต้องช่วยกันทำให้สังคมไทยเป็นมิตรกับความดี หรือช่วยทำให้ความดีกลับคืนมาสู่สังคม

ถ้าเราสามารถทำให้ความดีกลับคืนสู่จิตใจของผู้คน และทำให้ความดีกลับคืนสู่สังคม กลับคืนสู่เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา วัฒนธรรม รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ความปรองดองในสังคมไทย การคืนดีของคนไทยก็จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เมื่อ ๓๐ ปีก่อนเราเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะมีการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ แต่ก็มีการคืนดีเกิดขึ้นในที่สุด คำสั่ง ๖๖/๒๓ เป็นกุญแจที่ทำให้เกิดการคืนดีในบ้านเมือง ทำให้ผู้ที่เข้าป่าวางอาวุธแล้วกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย นั้นเป็นความสำเร็จที่สังคมไทยเคยทำได้มาก่อน ทำให้สงครามกลางเมืองไม่เกิดขึ้น

เราเคยคืนดีมาได้ครั้งหนึ่งแล้วระหว่างซ้ายกับขวา แต่เมื่อ ๓๐ ปีผ่านไปก็เกิดความร้าวฉานกันอีกในบ้านเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ระหว่างซ้ายกับขวา แต่เป็นระหว่างเหลืองกับแดง หรือแดงกับไม่แดงก็แล้วแต่จะเรียก ทำไมเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเรายังไม่สามารถทำให้ความดีกลับคืนมาสู่สังคม หรือทำให้สังคมเป็นมิตรกับความดีอย่างแท้จริง ดังนั้นในที่สุดคนไทยจึงเกิดความรู้สึกเหินห่างหมางเมินกัน เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เกิดช่องว่างระหว่างชนบทกับในเมือง ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ในที่สุดความดีที่ควรมีให้แก่กันและกันก็ถูกกลบทับด้วยความรู้สึกเป็นศัตรูกัน

ตอนนี้มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องร่วมกันปลุกเร้าความดี ปลุกเร้าเมตตากรุณาในใจเราให้มีพลังเหนือความโกรธเกลียด ปลุกเร้าปัญญาให้มีพลังเหนืออวิชชาที่มองเห็นผู้คนเป็นยักษ์เป็นมารกันให้ได้ ด้วยการปลุกกรุณาและปัญญาให้เกิดขึ้นในใจเท่านั้นที่เราจะสามารถทำให้เกิดการคืนดีขึ้นในหมู่ผู้คน และถ้าจะทำให้การคืนดีนั้นเป็นไปอย่างยั่งยืนก็ต้องนำพลังแห่งกรุณาและปัญญามาขับเคลื่อนให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่บริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้น ให้สังคมไทยเป็นมิตรกับความดียิ่งขึ้น

ด้วยการทำเช่นนี้การคืนดีจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ความดีจะกลับคืนสู่สังคมไทย สู่จิตใจของผู้คน และนำสันติสุขกลับคืนสู่แผ่นดินของเราในที่สุด

รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล วิสาโล www.visalo.org  korobiznet เอื้อเฟื้อพื้นที่   
webmaster    ๒๕๕๒ All Rights ไม่ Reserved