หน้ารวมบทความ
   บทความ > ธรรมยาตรา > ธรรมยาตราทำไม
กลับหน้าแรก

๑ ธรรมยาตราทำไม

ธรรมยาตราลุ่มน้ำลำปะทาวปีที่ ๑๐
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เย็น
พระไพศาล วิสาโล

แบ่งปันบน facebook Share   

ขอต้อนรับมิตรสหายชาวธรรมยาตราทุกคน พวกเราที่มากันที่นี่ หลายคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ครั้งก่อนๆ บางคนก็มาตั้งแต่ครั้งแรกๆ หลายคนเพิ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า ชาวธรรมยาตราลำปะทาวนั้นไม่มีคนแปลกหน้า มีแต่มิตรที่เพิ่งรู้จัก และให้ถือว่าพวกเราแม้จะมีความต่างกันโดยเพศ โดยวัย หรือโดยเครื่องนุ่งห่มที่สวมใส่ หรือโดยศีลที่ปฏิบัติ จะเป็นพระ เป็นชี จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือว่าเด็กเล็ก จนถึงผู้เฒ่าก็ให้ถือว่าเราเป็นเพื่อนกัน เพราะเราจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนับแต่คืนนี้ไป ถ้าหนาวก็ไม่มีใครหนาวน้อยกว่าคนอื่น พรุ่งนี้เราก็จะเริ่มเดินทาง เป็นการล่องกระแสธรรม แต่ว่าทวนกระแสน้ำ และทวนกระแสกิเลส

พวกเราคงทราบดีอยู่แล้วว่า ธรรมยาตราครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๐ เราเริ่มต้นเดินกันตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ตั้งแต่คนยังน้อยๆ ๗๐ - ๘๐ คน บางปีก็ลดเหลือ ๓๐ - ๔๐ คนในวันสุดท้าย แต่ว่าระยะหลังจำนวนคนที่ร่วมเดินก็มากขึ้น แต่จะมากหรือน้อยก็ไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าหัวใจเราจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หัวใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมายความว่า เราไม่เพียงแต่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเท่านั้น แต่เรายังมีจุดมุ่งหมายหรือความเข้าใจตรงกันว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ วันนี้เป็นวันรวมพลและยังมีมิตรสหายอีกหลายคนที่จะตามมาสมทบ แต่ตอนนี้เรามาทำความเข้าใจกันเป็นเบื้องต้นก่อน

ธรรมยาตราไม่ใช่เป็นการเดินพาเหรด ไม่ใช่เป็นการประท้วง แต่เป็นการเดินอย่างสงบ เดินอย่างมีสติ ธรรมยาตราแปลว่าเดินด้วยธรรมะ แต่ก่อนที่จะเดินด้วยธรรมะ คือเดินด้วยสติ เดินด้วยความปรารถนาดีต่อธรรมชาติและผู้คนรอบข้าง เราก็ต้องเดินเพื่อธรรมะก่อน

ธรรมะในที่นี้หมายถึงธรรมชาติเป็นอย่างแรก เดินธรรมยาตรานี้เกิดขึ้นมาเนื่องจากเห็นถึงความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ป่าถูกทำลาย ภูเขากลายเป็นภูเขาหัวโล้น ห้วยน้ำอันได้แก่ลำปะทาวที่เคยเป็นสายเลือดสายชีวิตของชาวบ้านก็แปรสภาพไป ไม่เพียงตื้นเขินและคับแคบเท่านั้น แต่สิ่งมีชีวิตในลำปะทาวก็ตายลงเป็นจำนวนมาก พวกเราเมื่อไปถึงลำปะทาวก็จะเห็นสภาพ

นอกจากป่าถูกทำลาย ลำห้วยก็กำลังจะเน่าเสียเพราะสารเคมีนานาชนิดที่ใช้กันอย่างไม่มีขีดจำกัด ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการเกษตร ก็ลงไปในลำห้วย ลำปะทาว ใช่แต่เท่านั้นหน้าดินยังถูกทำลาย ดินก็กำลังจะตาย พวกเราเป็นห่วงธรรมชาติไม่ใช่เพราะว่ามันกระทบต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำลำปะทาว ไม่ใช่เพียงเพราะชาวบ้านทำมาหากินฝืดเคือง ต้องทะเลาะกันเพราะการใช้น้ำในช่วงหน้าแล้งซึ่งกำลังมาถึงเท่านั้น แต่เพราะเรายังรู้สึกถึงความทุกข์ของธรรมชาติ

เรามาเดินธรรมยาตรา ไม่ใช่เพราะเรารู้สึกถึงความทุกข์ของชาวบ้านที่อยู่ริมลำปะทาวเท่านั้น แต่เรายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดความทุกข์ของธรรมชาติ ถ้าเรามีหัวใจที่ละเอียดอ่อน เราก็จะได้ยินเสียงร้องของธรรมชาติที่กำลังเจ็บปวด ป่าไม้กำลังจะตาย ลำน้ำกำลังล้มป่วย ผืนดินกำลังสิ้นลม นี่เป็นที่มาของธรรมยาตรา

หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณได้ขึ้นมาบนหลังเขาตั้งแต่ ๔๐ ปีที่แล้ว แล้วก็ไปๆ มาๆ จนกระทั่งมาอยู่ประจำเมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ท่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติบนหลังเขาอย่างมากมาย ก่อนหน้านี้ที่นี่เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ สิงสาราสัตว์ กวาง เสือ หมี ช้าง หมูป่า ตอนนั้นยังมีช้างป่าหากินอยู่บริเวณวัดป่าสุคะโต แต่สัตว์เหล่านี้ได้สูญพันธุ์ไปเกือบหมดสิ้นแล้ว คงเหลือแต่หมูป่าที่ต้องคอยหนีการไล่ล่าของผู้คน หลวงพ่อท่านเห็นว่าป่านี้มีคุณค่ามาก มีความหมาย มีความสำคัญต่อทุกชีวิต และมีความสำคัญต่อนักปฏิบัติธรรม พวกเราที่เป็นพระ เป็นแม่ชี เป็นนักปฏิบัติธรรมได้อาศัยธรรมชาติบนภูแลนคาหรือภูโค้งให้ความปลอดภัย ให้ความอบอุ่น ทำให้สามารถประพฤติปฏิบัติธรรม จนเห็นหรือเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาทั้งทีถ้าไม่รู้จักธรรมะ ถึงแม้จะมีเงินมีทอง มีชื่อเสียง เกียรติยศแค่ไหน มีความรู้เพียงใดก็ยังเรียกว่า คุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะนั่นยังไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ พวกเราหลายคนได้เปลี่ยนชีวิต ได้มาพบสิ่งดีที่งดงามก็เพราะได้เข้าใจธรรมะ และที่ได้เข้าใจธรรมะก็เพราะได้อาศัยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงอยากจะตอบแทนบุญคุณของธรรมชาติ

เมื่อธรรมชาติกำลังเจ็บป่วย ป่าไม้กำลังเป็นไข้ แม่น้ำกำลังจะตาย พวกเราจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง จึงอาสามาเป็นปากเสียงของธรรมชาติ เรียกว่าเป็นตัวแทนของธรรมชาติก็ได้ ทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากเป็นผู้แทนปวงชน อยากเป็นผู้แทนของประชาชนจังหวัดนี้จังหวัดนั้น แต่หาคนอาสาเป็นผู้แทนของธรรมชาติ ของสัตว์เล็กสัตว์น้อยนั้นไม่มี ทั้งๆ ที่ได้รับบุญคุณจากธรรมชาติเหล่านี้ พวกเราเลยอาสาเป็นตัวแทน ทั้งๆ ที่มีคนน้อย มีกำลังน้อย แต่ถือเป็นหน้าที่ที่จะละเลยไม่ได้ จึงได้เริ่มเดินธรรมยาตรากันมาตั้งแต่ปี ๔๓ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะมีแรงทำ หรือจะมีคนสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจนมาถึงครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ ๑๐ แล้ว

ถึงแม้ว่าบางคนบางท่านที่เคยเดินได้เสียชีวิตไปแล้วเพราะความชราบ้าง เพราะความเจ็บป่วยบ้าง แต่ก็ยังมีมิตรสหายคนใหม่ๆ รวมทั้งเด็กตัวน้อยๆ มาร่วมเดินไม่ขาดสายทุกปี ทำให้ธรรมยาตราสืบเนื่องกันมาเป็นปีที่ ๑๐ เรียกได้ว่าเป็นธรรมยาตราที่อายุยืนนานที่สุดในเมืองไทย ก่อนหน้านี้เคยมีธรรมยาตรารอบทะเลสาบสงขลา ทำมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ แต่ว่าทำไม่ตลอด ตอนนี้เลิกไปแล้ว มีแต่ธรรมยาตราเพื่อลำปะทาวที่ยังทำต่อเนื่องทุกปีไม่ได้ขาด และนับวันจะมีคนมาร่วมมากขึ้น ปีนี้ก็เยอะมาก แต่ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า มากหรือน้อยไม่สำคัญ ขอให้มีดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้คนจะน้อย แต่ว่าเรารักกัน เราให้กำลังใจกัน เรามีใจตรงกัน มันยิ่งทำให้เรากลมเกลียวกันมากขึ้น บางปีบางวันคนอาจจะเดินแค่ ๔๐ คน แต่ยิ่งกลับทำให้เรากลมเกลียวกันมากขึ้น เพราะว่าได้ร่วมทุกข์ด้วยกัน

การเดินธรรมยาตรานอกจากเราเดินเพื่อธรรมชาติภายนอกแล้ว เรายังเดินเพื่อธรรมชาติภายในด้วย คือเดินเพื่อใจของเราด้วย ใจของเราก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามันมีอยู่ สัมผัสและรู้สึกได้ ทุกวันนี้ธรรมชาติภายในของคนส่วนใหญ่เสียสมดุลไปแล้ว ไม่ใช่แค่ธรรมชาติภายนอกคือป่าเขาที่กำลังเสียสมดุล กำลังประสบวิกฤต ธรรมชาติภายในของคนส่วนใหญ่ก็กำลังประสบวิกฤต ผู้คนจึงไม่มีความสุข เมื่อไม่มีความสุขจึงต้องแสวงหาความสุข แต่พอไปแสวงหาความสุขจากภายนอก แสวงหาความสุขจากวัตถุ สิ่งเสพ สิ่งบริโภค เงินทอง รถยนต์ บ้าน ชื่อเสียง ก็ยิ่งรู้สึกอ้างว้างและเป็นทุกข์เพราะว่ามันไม่ใช่บ่อเกิดแห่งความสุขที่แท้

การเดินธรรมยาตราถ้าเดินโดยวางใจให้ถูก ก็จะสามารถจะฟื้นฟูธรรมชาติภายในใจที่เคยเสียไป หรือที่เคยเสื่อมโทรมให้กลับมาเป็นปกติได้ เพราะฉะนั้นเราถึงต้องเดินด้วยธรรมะ เราไม่ได้เดินเพื่อธรรมะอย่างเดียว การเดินเพื่อธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติภายนอกหรือธรรมชาติภายใน มันไม่มีวิธีอื่นนอกจากเดินด้วยธรรมะ เดินด้วยธรรมะคือเดินอย่างมีสติ เดินด้วยความสงบ เราจะไม่เดินอย่างที่เคยเดิน นับจากพรุ่งนี้ไปเราจะเดินด้วยสติ ให้รู้ทันความรู้สึกนึกคิด ที่สำคัญก็คือเดินด้วยความรู้สึกตัว

เดินด้วยความรู้สึกตัวและเดินอย่างมีสติคือสิ่งเดียวกัน ถึงแม้บางคนอาจจะยังไม่รู้จักสติ นี่ก็เป็นโอกาสให้เราได้ฝึกขันติ ฝึกความอดทน ฝึกความเพียร ขันติและวิริยะเป็นสิ่งสำคัญมาก คนเราถ้ามีไม่มีขันติ ความอดทน ไม่มีวิริยะความเพียรแล้ว ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ค้นหาความสุขภายในก็ไม่มีทางเจอ แต่ถ้าเดินเป็น เดินอย่างมีขันติ เดินด้วยความเพียร และเดินอย่างมีสติ ก็จะพบกับสมาธิคือความสงบ เมื่อพบกับความสงบแล้วก็จะเข้าใจเลยว่าคนเราถึงแม้มีน้อย กินน้อย ก็ยังมีความสุขได้

ธรรมยาตรานี้ คนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะคิดว่ามาเดินเพื่อลำบาก ทำไมมาเดินเพื่อธรรมชาติถึงต้องลำบากแบบนี้ แต่ที่จริงแล้ว เราต้องมาเจอกับความลำบากเพื่อที่เราจะได้รู้จักทุกข์ และถ้าเรารู้จักทุกข์ เราก็จะเห็นทางออกจากทุกข์ได้ คนที่มาเดินใหม่ๆ จะรู้สึกว่าวันแรกๆ ทุกข์ทรมานมาก แต่ส่วนใหญ่เมื่อเดินมาถึงวันที่ ๓ วันที่ ๔ ความรู้สึกจะเปลี่ยนไป แม้ยังเหนื่อย ยังร้อนอยู่ แต่เป็นกายที่เหนื่อย เป็นกายที่ร้อน แต่ว่าใจไม่เหนื่อยด้วย ใจไม่ร้อนด้วย ใจกลับสนุกเสียอีก เสน่ห์ของธรรมยาตราก็คือ การที่เราสามารถจะพบสุขได้แม้จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ อันนี้เป็นเสน่ห์และเคล็ดลับของธรรมยาตรา ถ้าจะเดินธรรมยาตราให้ได้ประโยชน์จริงๆ ก็ต้องเดินจนสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ การพบสุขท่ามกลางความสะดวกสบาย ใครๆ ก็ทำได้ เด็กเล็กๆ ๓ - ๔ ขวบก็ทำได้ แต่สิ่งที่ท้าทายและยากกว่าก็คือ การพบความสุขท่ามกลางความทุกข์ ท่ามกลางความไม่สะดวกสบาย นี้คือบทเรียนที่เราจะได้จากธรรมยาตรา

ธรรมยาตราเป็นการพาตัวเข้าหาทุกข์ เราจะไม่หนีทุกข์ ใครที่อยากจะหนีทุกข์ มาที่นี่ก็อาจจะผิดที่ผิดทาง แต่ถ้าหากมีความกล้าที่จะเผชิญหน้าเข้าหาทุกข์ รับรองว่าจะได้รางวัลตอบแทนคือ ได้พบความสุขท่ามกลางความทุกข์ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเดินให้เป็น คือเดินด้วยธรรมะ และเมื่อเดินด้วยธรรมะแล้ว ธรรมะจะรักษาเรา วันแรกๆ เราต้องรักษาสติ วันที่ ๓ วันที่ ๔ สติจะรักษาเรา หากเราตั้งใจเดินอย่างที่ว่ามา เราจะอยู่ในอารักขาของธรรมะได้ ธรรมะจะอารักขาเรา จะลำบากอย่างไรใจก็ไม่ทุกข์ร้อน

ธรรมะที่จะอารักขาเราอย่างหนึ่งก็คือเมตตากรุณาของชาวบ้าน เมตตากรุณาของชาวบ้านเป็นธรรมะที่จะช่วยรักษาเราให้อยู่รอดปลอดภัย เดินธรรมยาตราแม้ไม่มีเงินสักสลึงก็ยังอยู่รอดได้ ใครไม่เชื่อก็ลอง ตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินสักบาทเดียว แล้วดูสิว่าจะอยู่รอดจนถึงวันที่ ๘ ไหม ขอให้มั่นใจได้ว่าเราจะอยู่ได้สบายเพราะธรรมะจะอารักขาเรา เราจะอยู่ในอารักขาของธรรมะถ้าเราเดินธรรมยาตราเป็น เมตตากรุณาของชาวบ้านและสติที่เราบ่มเพาะขึ้นมาจะรักษาเรา ไม่ใช่แค่อิ่มท้อง ไม่ใช่แค่นอนอุ่น แต่ว่าใจก็จะไม่ทุกข์ด้วย แดดร้อน ร้อนแต่กาย ใจไม่ร้อน ทางไกล มีแต่กายที่เหนื่อย ใจไม่เหนื่อย อันนี้เพราะธรรมะรักษาเรา แต่ว่าจะให้ธรรมะรักษาได้ก็ต้องไปเจอทุกข์ แล้วธรรมะก็จะมาช่วยรักษาเรา

สรุปว่าการเดินธรรมยาตราคือ เดินเพื่อธรรมะ ด้วยธรรมะ และในธรรมะ เป็นการเดินไม่ใช่เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เป็นการเดินเพื่อขัดเกลาตัวเราด้วย อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้จักการอยู่ง่าย กินง่าย หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับการนอนกลางดิน กินกลางทราย แต่ถ้าได้มาเดินอย่างนี้แล้ว ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้น แต่ว่าผ่านไปได้ ๓ - ๔ วัน จะเริ่มรู้สึกว่ามันก็สบายเหมือนกัน นอนกลางดิน กินกลางทราย ห้องน้ำไม่สะดวก บางที่บางแห่งอาจจะเจอห้องน้ำห้องเดียว คนเป็นร้อย อาจจะลำบากหน่อย แต่ก็กลายเป็นสนุกไปได้ สนุกท่ามกลางความลำบาก อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะพบจากการเดินธรรมยาตรา

ธรรมยาตราคือเดินเพื่อธรรมชาติ เดินเพื่อส่วนรวม และเดินเพื่อขัดเกลาฝึกฝนตนด้วย ฝึกฝนตนเพื่อจะได้ค้นพบความสุขที่แท้ คือความสุขใจ เราจะพบความสุขใจได้เราก็ต้องฝึกฝนด้วยการมาเจอความยากลำบาก คนที่มาเดินธรรมยาตราปีก่อนๆ คงจะเข้าใจดีว่าความยากลำบากนั้นมีประโยชน์อย่างไร มันมีคุณค่าอย่างไรบ้าง มันทำให้เรารู้จักตัวเอง หลายคนจึงไม่รู้จักเข็ด จึงมาทุกปี มาแล้วมาอีก เพราะว่าเห็นอานิสงส์ของความยากลำบากว่ามันช่วยทำให้เราเติบโต เกิดความงอกงาม ทำให้รู้จักตัวเอง รู้จักความสุขที่แท้

นี่คือจุดมุ่งหมายของธรรมยาตราที่อยากจะปูพื้นเอาไว้ ว่าไม่ใช่เป็นการเดินเพื่อธรรมชาติภายนอกอย่างเดียว แต่เป็นการเดินเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติภายในของเราให้กลับมาเป็นปกติ และเมื่อเรามีธรรมชาติภายในที่เป็นปกติแล้ว ก็จะเห็นคุณค่าของการอยู่ง่ายกินง่าย เราจะเบียดเบียนผู้อื่นและเบียดเบียนธรรมชาติน้อยลง ที่ธรรมชาติเสื่อมโทรมทุกวันนี้เพราะมนุษย์เราไม่รู้จักพอ เราไปแสวงหาความสุขด้วยการเสพ ด้วยการบริโภคโดยไม่สนใจว่าได้ทำลายธรรมชาติไปมากมากเพียงใด ความไม่รู้จักพอของมนุษย์ทำให้ธรรมชาติถูกทำลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เดือนหน้าจะมีการประชุมระดับโลกเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เพื่อแก้วิกฤติโลกร้อน พวกเราคงทราบกันดีแล้วว่าโลกร้อนกำลังเป็นวิกฤติ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคของมนุษย์ที่ทำให้มีการเผาผลาญพลังงาน เกิดก๊าซคาบอนไดออกไซด์จากโรงงาน จากรถยนต์ จนสะสมอยู่ในบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนจนกระทั่ง ๑๐๐ ปีมานี้ การเสพการบริโภคอย่างไม่รู้จักประมาณเพราะต้องการความสะดวกสบายอย่างไม่มีขีดจำกัดเป็นสาเหตุทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งโลกในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดโลกร้อน

เดือนหน้าจะมีประชุมกันเรื่องโลกร้อน แต่ก็เป็นห่วงว่าจะไม่มีข้อสรุป เพราะทุกประเทศคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัว ทุกประเทศคิดแต่ว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจ ให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กล้าลดการผลิต เพราะถ้าลดการผลิตแล้ว เศรษฐกิจอาจจะมีปัญหา รัฐบาลจะถูกโจมตี เพราะคนยังต้องการมีสิ่งเสพ สิ่งบริโภค มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ยอมเลิก ยังติดความสะดวกสบาย การที่มนุษย์เราไม่สามารถหาความสุขจากชีวิตที่เรียบง่ายได้ก็ทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมกันอย่างกว้างขวาง แต่ถ้าเราเริ่มที่ตัวเราเอง ด้วยการกินง่ายๆ อยู่ง่ายๆ ไม่ใช่แค่ไม่ใช้โฟม ไม่ใช่แค่ทิ้งถุงพลาสติกให้น้อยลง แต่ว่าอยู่ง่ายกินง่าย และมีความสุขด้วย ไม่ใช่อยู่แบบกล้ำกลืนฝืนทน เราก็จะช่วยธรรมชาติได้ ธรรมชาติจะเสียหายน้อยลง ในขณะที่จิตใจเราจะเจริญงอกงามมากขึ้น

การเดินธรรมยาตราจึงเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เป็นการเชื่อมการปฏิบัติธรรมกับการอนุรักษ์ธรรมชาติแวดล้อมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่คือที่มาของธรรมยาตราที่อยากจะชี้แจงให้พวกเราเข้าใจตรงกัน และลองปรับตัวปรับใจของเราดู ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็จะมีกำลังใจในการสู้กับความยากลำบาก ความยากลำบากจะมีมาทุกวัน แต่ถ้าเราเข้าใจว่าเราทำเพื่ออะไรแล้ว จิตใจเราจะเข้มแข็งพอ และสามารถยิ้มรับกับความยากลำบากได้ เราจะยิ้มรับความยากลำบากไม่ว่าจากดินฟ้าอากาศ ไม่ว่าจากการกินการอยู่ หรือแม้แต่นิสัยที่ไม่ลงรอยกันของเพื่อนร่วมทาง เราก็ยิ้มรับได้ และสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ง่ายขึ้น จนเป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์

รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล วิสาโล www.visalo.org  korobiznet เอื้อเฟื้อพื้นที่   
webmaster    ๒๕๕๒ All Rights ไม่ Reserved