![]() ปัญหาท้าทายชาวพุทธและชาวมุสลิม พระไพศาล วิสาโล - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
|
เชื่อกันมานานกว่าร้อยปีในหมู่นักคิดและนักวิชาการในตะวันตกว่า ศาสนาจะสูญหายไปจากโลกนี้ในศตวรรษที่ ๒๐ เพราะไม่อาจต้านทานอำนาจของเหตุผลและวิทยาศาสตร์ได้ แม้จะพบในเวลาต่อมาว่า การคาดคะเนดังกล่าวไม่ถูกต้อง แต่จวบจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ก็ยังมีความเชื่อในหมู่นักคิดทางสังคมวิทยาจำนวนมากว่า ศาสนาจะหายไปเมื่อศตวรรษที่ ๒๑ มาถึง นักมานุษยวิทยาด้านศาสนาซึ่งมีชื่อเสียงคนหนึ่ง ถึงกับกล่าวไว้เมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วว่า อนาคตของศาสนากำลังวิวัฒน์ไปสู่ความดับสูญ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติที่ฝืนกับกฎธรรมชาติจะเสื่อมถอยและกลายเป็นความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้นเอง แต่มาถึงวันนี้ไม่มีนักคิดนักวิชาการตะวันตกคนใดกล้าทำนายว่าศาสนาจะเสื่อมสูญหรือเสื่อมถอยอีกต่อไป เพราะเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนว่า ในช่วง ๒๕ ปีที่ผ่านมาศาสนาได้ฟื้นขึ้นมาแทบทุกมุมโลก และมีบทบาทสำคัญไม่เฉพาะในชีวิตส่วนตัวของผู้คนเท่านั้น หากยังมีอิทธิพลในทางการเมืองหรือกิจการสาธารณะ ในหลายประเทศ พลังของศาสนาสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาลและระบอบปกครอง หนังสือทางด้านศาสนาติดอันดับขายดีทั่วโลก ขณะที่สัญลักษณ์ทางศาสนากลายเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าสูงในตลาด อีกทั้งยังมักถูกนำมาใช้ในการโฆษณาให้กับสินค้าชนิดอื่น ๆ มิพักต้องกล่าวว่ายอดเงินบริจาคเพื่อกิจการสาธารณะส่วนใหญ่ยังเป็นเงินบริจาคที่มีจุดประสงค์ทางศาสนา เช่นเดียวกับอีกหลายศาสนา ศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม ได้มีการฟื้นตัวและเติบใหญ่ทั้งในประเทศที่รับนับถือศาสนาเหล่านี้มาแต่ดั้งเดิม และในประเทศใหม่ ๆ ทางตะวันตก กล่าวได้ว่าการฟื้นตัวและเติบใหญ่ของศาสนาทั้งสอง เป็นผลพวงจากการพัฒนาเศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างขนานใหญ่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การอพยพโยกย้ายเข้าสู่เมือง ความเสื่อมสลายของครอบครัวและชุมชนดั้งเดิม ได้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว และตึงเครียด ขณะเดียวกันค่านิยมอย่างใหม่และการแข่งขันกันทางวัตถุ ก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าชีวิตนั้นไร้ความหมาย และว่างเปล่าทางคุณค่า เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ มิพักต้องกล่าวถึงการโถมถั่งของวัฒนธรรมจากตะวันตก ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนกำลังถูกคุกคาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้ประชาชนจำนวนมากกลับมาหาศาสนา ในฐานะเสาหลักหรือที่พึ่งพิงอันจะสร้างความมั่นคงให้แก่จิตใจ ศาสนากับการบำบัดทุกข์ในสังคม อย่างไรก็ตามศาสนาไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงแค่การสร้างความสงบสุขส่วนบุคคลให้แก่ศาสนิกในศาสนาของตนเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจุบันมีความทุกข์มากมายเกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม ซึ่งมิใช่แค่ความทุกข์ทางใจอันเนื่องจากความว้าเหว่ โดดเดี่ยว ขาดจุดหมายในการดำเนินชีวิตเท่านั้น หากยังเป็นความทุกข์เพราะยากจนข้นแค้น ขาดปัจจัยสี่ในการดำเนินชีวิต ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาและบริการทางการแพทย์ ทั้งนี้เนื่องจากถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งโดยตัวบุคคล และโดยโครงสร้าง เช่น ถูกกดค่าแรง ถูกกดราคาพืชผล ทรัพยากรสาธารณะที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ (เช่น ป่า ที่ดิน น้ำ)ถูกแย่งชิง รวมไปถึงการจัดสรรบริการของรัฐและการกระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมือง เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการรวมตัว สิทธิในการชุมนุมประท้วง รวมทั้งสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งล้วนเป็นสิทธิที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของตน สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางช่องว่างที่ถ่างกว้างขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน และดำรงอยู่ท่ามกลางความฟุ้งเฟ้อร่ำรวยอย่างมหาศาลของคนจำนวนน้อย นี้คือความไม่เป็นธรรมที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ความไม่เป็นธรรมดังกล่าวโดยตัวมันเองต้องถือว่าเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ผู้คนนับล้าน ๆ ต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากความยากจน ความหิวโหย และโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน ขณะเดียวกันความไม่เป็นธรรมดังกล่าวยังผลักดันให้ประชาชนลุกขึ้นมาชุมนุมประท้วง ซึ่งมักลงเอยด้วยความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการสังหารหรือ ทารุณกรรมต่อผู้นำการชุมนุม และหากความไม่เป็นธรรมยังดำรงอยู่อย่างยืดเยื้อแล้ว ในที่สุด การก่อความไม่สงบโดยใช้กำลังอาวุธ ย่อมเป็นทางออกของผู้ถูกกระทำ ดังเกิดขึ้นในศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และไทย เป็นต้น ความไม่เป็นธรรมและความรุนแรง คือสภาพความเป็นจริงที่ประจักษ์แก่ชาวพุทธและมุสลิมในหลายประเทศในเอเชีย และปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพความเป็นจริงดังกล่าวคือสิ่งที่สวนทางกับหลักการของทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม ทั้งสองศาสนากำเนิดขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทรและสงบสุข โดยเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต และตระหนักถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของทุกชีวิต ทั้งสองศาสนามิได้สอนให้เราแสวงหาความสุขเฉพาะตน แต่ควรช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้มีความสุขด้วย ผู้อื่นในที่นี้มิได้หมายถึงครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือมิตรสหายเท่านั้น หากควรรวมถึงผู้คนทั้งหลายในสังคม ด้วยเหตุนี้การขจัดความไม่เป็นธรรมและความรุนแรง เพื่อฟื้นฟูความยุติธรรมและสันติภาพขึ้นในสังคม จึงเป็นภารกิจที่ชาวพุทธและมุสลิมมิอาจละเลยได้ ภารกิจคู่ขนาน ภารกิจภายนอก หมายถึงการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งมีความหมายมากกว่ากิจกรรมในลักษณะ interpersonal หากรวมไปถึงปฏิบัติการในทางการเมืองด้วย ความยุติธรรมและสันติภาพ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างบุคคลต่อบุคคล เช่น ให้ทาน ดูแลรักษาพยาบาล หรือกิจกรรมเชิงสังคมสงเคราะห์เท่านั้น หากจะต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบหรือโครงสร้างที่เป็นต้นตอแห่งความไม่เป็นธรรมและความรุนแรงในสังคมด้วย เช่น ผลักดันให้มีการกระจายอำนาจสู่ประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น เพื่อมีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อตนเอง ทำให้ระบบการเมืองเป็นประชาธิปไตยและมีความโปร่งใสมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน มีการปฏิรูปที่ดิน และระบบภาษีที่ก้าวหน้าเป็นต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือช่วยกันขจัดโครงสร้างแห่งความรุนแรง และสถาปนาโครงสร้างที่เป็นธรรมและสันติ ที่แล้วมาศาสนิกมักจะมองปัญหาในสังคมว่าเกิดจากความบกพร่องส่วนบุคคล เช่น ผู้นำที่ฉ้อฉล หรือชาวบ้านขี้เกียจ ติดอบายมุข ดังนั้นจึงมักคิดแก้ไขที่ตัวบุคคล เช่น เรียกร้องคนดีมาเป็นผู้นำ หรือเทศนาสั่งสอนให้ชาวบ้านขยัน เลิกละอบายมุข รวมทั้งให้การสงเคราะห์เป็นรายบุคคล การกระทำดังกล่าวแม้จะจำเป็น แต่ก็ไม่เพียงพอ หากควรมองไปถึงการแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้าง ซึ่งก็ไม่ควรจำกัดแค่การออกกฎหมายต่อต้านอบายมุขหรือคอรัปชั่นเท่านั้น เพราะปัญหาความทุกข์ยากของผู้คนนั้นมีมากกว่าเรื่องอบายมุขและคอรัปชั่น อีกทั้งลำพังกฎหมายเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากโครงสร้างหรือระบบส่วนอื่น ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่สอดคล้องกัน จะทำเช่นนั้นได้ศาสนิกจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมีความสลับซับซ้อนและเชื่อมโยงหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม การมองปัญหาสังคมโดยใช้approachเดียวกับการแก้ปัญหาครอบครัวหรือหมู่บ้าน ซึ่งเน้นที่การแก้ที่ตัวบุคคลนั้น ย่อมไม่ช่วยให้เกิดความเข้าใจปัญหาสังคมและเห็นทางออกที่ถูกต้องได้ ส่วนภารกิจประการที่สองคือ ภารกิจภายใน นั้น หมายถึง การทำความเข้าใจและปฏับัติตามคำสอนของศาสนา จนเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาของตน ภารกิจนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งเปิดใจกว้างต่อเพื่อนมนุษย์ หาไม่แล้วศาสนิกจะหลงติดอยู่กับรูปแบบ พิธีกรรมและสัญลักษณ์ของศาสนาตน ซึ่งเป็นความคับแคบอย่างหนึ่ง ที่เป็นอุปสรรคทั้งต่อการพัฒนาตนและต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่พึงปรารถนา บ่อยครั้งเราจะพบว่าขบวนการทางศาสนาสนใจเรียกร้องแต่เรื่องที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับศาสนาของตนเท่านั้น เช่น การเรียกร้องให้มีกระทรวงดูแลศาสนาของตนโดยเฉพาะ หรือการเรียกร้องสถานะหรือสิทธิพิเศษให้แก่ศาสนาของตน กลายเป็นว่าขบวนการทางศาสนากลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ต่างจากสมาคมนักธุรกิจ หรือสภาหอการค้า ทั้ง ๆ ที่ศาสนาน่าจะส่งเสริมคุณค่าที่สากลและคำนึงถึงประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์ โดยไม่จำแนกแยกแยะ ข้ามพ้นเส้นแบ่งทางศาสนา มุมมองดังกล่าวย่อมมีผลต่อการสร้างความยุติธรรมและสันติภาพในสังคม เพราะทำให้ศาสนิกคำนึงแต่ความยุติธรรมและสันติสุขเฉพาะที่เกี่ยวกับเพื่อนร่วมศาสนาตนเท่านั้น แต่ไม่สนใจ(หรือมองไม่เห็น)เมื่อความไม่เป็นธรรมหรือความรุนแรงเกิดขึ้นกับเพื่อนต่างศาสนา เมื่อปีที่แล้วชาวพุทธไทยทั้งประเทศตื่นตะลึงและโกรธแค้นเมื่อพระเณรในวัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดปัตตานีถูกฆ่า และบางส่วนของวัดถูกเผา พระพุทธรูปถูกทำลาย แต่กลับไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเมื่อผู้ประท้วงชาวมุสลิมจำนวนเกือบ ๘๐ คนตายเพราะถูกวางทับซ้อนกันบนรถระหว่างถูกนำส่งไปคุมขังที่ค่ายทหารในจังหวัดเดียวกัน ในทำนองเดียวกันชาวมุสลิมจำนวนไม่น้อยก็ดูจะมีท่าทีไม่ต่างจากชาวพุทธที่กล่าวมา ในที่ประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ข้าพเจ้าได้เสนอแนะให้ผู้นำชาวมุสลิมซึ่งเป็นกรรมการอยู่ เปิดแถลงข่าวประณามผู้ที่ฆ่าพระเณร(ในกรณีที่เพิ่งกล่าวถึง)ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของชาวมุสลิม แต่ผู้นำชาวมุสลิมเหล่านั้นกลับปฏิเสธ เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงว่าจะทำให้ตนมีปัญหากับชาวมุสลิมในพื้นที่ของตัว ความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเราในหมู่ศาสนิกชน ยังมีผลต่อสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและสันติภาพในแง่ที่ว่า ศาสนิกมีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็นความอยุติธรรม หากผู้ก่อการนั้นนับถือศาสนาเดียวกับตัว แต่จะมองเห็นความอยุติธรรมเด่นชัด เมื่อผู้ก่อการนั้นนับถือคนละศาสนากับตัว เมื่อพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของข้าพเจ้าถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดด้วยมีดที่ภาคเหนือของไทย กลับได้รับความสนใจน้อยมากในหมู่ชาวพุทธทั่วประเทศ เหตุผลหนึ่งก็เพราะฆาตกรดูเหมือนว่าจะเป็นชาวพุทธด้วยกัน แต่จะตื่นตัวและโกรธแค้นเมื่อพระเณรถูกฆ่าโดยชาวมุสลิม ในทำนองเดียวกันข้าพเจ้าทราบมาว่าเมื่อชาวสุหนี่วางระเบิดทำลายสุเหร่าของชาวชีอะห์ในอิรักช่วงเทศกาลรอมะดอนเมื่อปีที่แล้ว (และยังมีอีกหลายครั้งตามมา) แทบไม่มีชาวสุหนี่ในประเทศใด (รวมทั้งในประเทศไทย) ลุกขึ้นมากล่าวประณามการกระทำดังกล่าว แต่เสียงประณามจะแผดดังทันทีจากชาวมุสลิมหากปรากฏว่าชาวมุสลิมไม่ว่าสุหนี่หรือชีอะห์ ถูกฆ่าโดยทหารอเมริกัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาของตนไม่ว่าชาวพุทธหรือมุสลิม ย่อมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้หากว่ามนุษย์คนใดคนหนึ่งถูกทำร้ายในลักษณะนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะนับถือศาสนาใด หรือไม่นับถือเลยก็ตาม เพราะศาสนาย่อมยกระดับจิตใจของเราให้ข้ามพ้นเส้นแบ่งทั้งปวงที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ศาสนาไม่ว่าพุทธหรืออิสลามย่อมเปิดใจให้เราเห็นความจริงว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเป็นชาวพุทธ หรือชาวมุสลิม และก่อนที่จะเป็นชาวไทย ชาวมาเลเซีย ชาวอินโดนีเซีย ชาวสิงหล หรือชาวทมิฬ ฯลฯ ศาสนานั้นเป็นพลังในทางความยุติธรรมและสันติภาพได้ ก็เพราะเปลี่ยนแปลงมนุษย์อย่างลึกซึ้ง จนเกิดเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย โดยไม่ปล่อยให้อัตลักษณ์(หรือ ยี่ห้อ)ทางเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา อุดมการณ์ มาเป็นเครื่องกีดขวางมนุษย์ออกจากกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่เราไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา แต่หลงติดอยู่กับสัญลักษณ์ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนาแล้ว ศาสนาก็สามารถกลายเป็นอุปสรรคในการสถาปนาความยุติธรรมและสันติภาพได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าศาสนาเกือบทุกศาสนาทุกวันนี้ รวมทั้งศาสนาพุทธและอิสลามกำลังถูกใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ทำร้ายผู้อื่นในนามของความดีและสิ่งสูงสุด ดังเห็นได้จากสงครามระหว่างศาสนิกต่างศาสนา ในอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา อินโดนีเซีย ตะวันออกกลาง ไปจนถึงไอร์แลนด์เหนือ ที่น่าสนใจก็คือศาสนิกที่จับอาวุธทำร้ายกันนั้น ถือว่าตนปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด คนที่กล้าสละชีวิตตนเองด้วยความเต็มใจนั้น ย่อมต้องมีแรงบันดาลใจที่ทรงพลังอย่างยิ่ง สำหรับคนจำนวนไม่น้อยทั่วโลก แรงบันดาลใจของเขาได้มาจากศาสนา สิ่งที่น่าวิตกก็คือทุกวันนี้ศาสนาสามารถบันดาลใจให้ผู้คนยอมตายเพื่อปลิดชีวิตผู้อื่นได้ แต่ดูเหมือนจะไร้พลังในการบันดาลใจให้ผู้คนยอมสละชีพเพื่อรักษาชีวิตผู้อื่น ศาสนานั้นควรเป็นพลังในทางสันติภาพ แต่พลังดังกล่าวกำลังอ่อนแรง เมื่อทั่วโลกลุกขึ้นมาประท้วงคัดค้านสหรัฐมิให้ส่งกำลังทหารไปทำสงครามในอิรักเมื่อปี ๒๕๔๖ ปรากฏว่าองค์กรที่เป็นกำลังสำคัญในการเคลื่อนไหวนั้นส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่มิใช่ศาสนา เมื่ออิสราเอลส่งทหารปิดล้อมเมืองรามุลเลาะในปาเลสไตน์เมื่อปี ๒๕๔๕ ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่ามีผู้คนจากหลายประเทศเล็ดรอดเข้าไปเมืองเพื่อเอาตัวเข้าไปขวางกั้นทหารและรถถังของอิสราเอล โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่คนเหล่านั้นส่วนใหญ่หาได้ประกาศตนเป็นศาสนิกในศาสนาใดไม่ ศาสนิกที่ทำงานเพื่อสันติภาพนั้นมีอยู่ แต่กิจกรรมส่วนใหญ่ที่นิยมกระทำกันคือการประชุมเพื่อสันติภาพ ตรงข้ามกับศาสนิกที่ใช้ความรุนแรง ฝ่ายหลังนั้นพร้อมที่จะตาย แต่เป็นการตายเพื่อฆ่าผู้อื่น คำถามที่น่าคิดก็คือทุกวันนี้ศาสนาพุทธและอิสลามยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนสามารถสละชีวิตเพื่อรักษาชีวิตผู้อื่นได้หรือไม่ หรืออย่างน้อยเป็นพลังบันดาลใจให้ต่อสู้อย่างไม่กลัวอันตรายด้วยสันติวิธี ทั้งนี้เพื่อสันติภาพและความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคน โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา หรืออุดมการณ์ แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องเริ่มจากการไม่มองศาสนิกต่างศาสนาว่า เป็น ผู้อื่น หรือ พวกมัน ข้าพเจ้าคิดว่านี้เป็นสิ่งท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับชาวพุทธและมุลิมที่เชื่อในความยุติธรรมและสันติภาพ ไปพ้นอหังการทางศาสนา ไม่ใช่พุทธศาสนาเท่านั้นที่เคยก่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว ศาสนาอื่นก็ก่อความผิดพลาดทำนองนี้มาไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ก็เพราะความหลงยึดติดในศาสนาของตน จนขาดเมตตาต่อศาสนาอื่น อันนำไปสู่การกระทำที่สวนทางกับคำสอนในศาสนาของตน กลายเป็นว่าแทนที่จะช่วยสร้างสรรค์ กลับเป็นการทำลายศาสนาของตน นี้คือบทเรียนของชาวพุทธและมุสลิม ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งท้าทายศาสนิกทั้งสองว่าจะป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดดังกล่าวขึ้นอีกได้อย่างไร ร่วมกันคัดค้านความรุนแรง มองในแง่นี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเวลานี้ รวมทั้งในประเทศไทย ชาวพุทธและชาวมุสลิมจึงล้วนมีส่วนรับผิดชอบอย่างยากจะปฏิเสธได้ เพราะนอกจากจะไม่สามารถระงับหรือบรรเทาความรุนแรงได้แล้ว บางครั้งยังปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรงในนามศาสนา หรือปล่อยให้มีการใช้ศาสนาเป็นเงื่อนไขในการใช้ความรุนแรง แม้ว่าผู้ที่ใช้ความรุนแรงเหล่านั้นจะเป็นคนส่วนน้อยนิดก็ตาม จริงอยู่ผู้นำศาสนาและศาสนิกส่วนใหญ่ อาจไม่เชื่อและไม่สนับสนุนความรุนแรง แต่การอยู่นิ่งเฉยก็เท่ากับเปิดโอกาสให้คนกลุ่มน้อยนิดซึ่งนิยมความรุนแรงสามารถเข้ามายึดครองหรือ แย่งชิงศาสนาไปใช้ประโยชน์ตามใจชอบ และนี่คือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก และเป็นเงื่อนไขแห่งความรุนแรงในหลายมุมโลกทุกวันนี้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่ชาวพุทธและชาวมุสลิมจะต้องร่วมมือกันในการยับยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นข้ออ้าง อย่างน้อยควรร่วมกันประณามการสังหารประชาชนหรือศาสนิกต่างศาสนา โดยไม่หวั่นกลัวอันตรายหรือภัยคุกคามจากกลุ่มติดอาวุธหรือศาสนิกหัวรุนแรง ขณะเดียวกันควรร่วมมือกันปกป้องสถาบันศาสนาและศาสนสถาน ตลอดจนปกป้องพระสงฆ์ โต๊อิหม่าม โต๊ะครู ฯลฯ จากเหตุร้าย หรือการประทุษร้ายใด ๆ. นอกจากนั้นควรร่วมกันรณรงค์เรียกร้องให้ศาสนิกทั้งหลายยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักเมตตาธรรมและขันติธรรมในศาสนาของตนอย่างเคร่งครัด ยึดมั่นในภราดรภาพของมนุษยชาติ และคุณค่าของชีวิต ตลอดจนปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา จริงอยู่การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการสวนทางกับความรู้สึกนึกคิดของผู้คนส่วนใหญ่ รวมทั้งศาสนิกชนส่วนข้างมาก ซึ่งต้องการให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดังนั้นจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยความกล้าหาญและความมั่นคงทางศาสนธรรม เพราะเหตุนี้เองเราจึงจำต้องปฏิบัติตนจนเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา การเข้าถึงอุดมคติอันสูงส่งทางศาสนา จะเป็นพลังบันดาลใจให้เรากล้าทวนกระแสสังคม เราจะไม่คลอนแคลนเมื่อเผชิญกับการต่อต้านจากผู้คนหรือศาสนิกร่วมศาสนา เพราะชีวิตจิตใจของเราแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันศาสนธรรมหรือความจริงขั้นสูงสุด เรียนรู้จากกันและกัน นอกจากการร่วมมือเพื่อความยุติธรรมและสันติภาพแล้ว การร่วมมือกันในประเด็นสาธารณะอื่น ๆ รวมไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะช่วยเป็นสะพานสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา อันจะเป็นการลดเงื่อนไขแห่งความรุนแรงระหว่างศาสนา ปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่เข้าใจกันถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างศาสนิกต่างศาสนานั้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง ต่างคนต่างอยู่กันมากขึ้น ดังนั้นจึงรับรู้เรื่องราวของกันและกันผ่านสื่อหรือคำบอกเล่า ซึ่งอาจมีการต่อเติมเสริมแต่ง ทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกต่างศาสนา สามารถทำได้ด้วยการจัดให้มีการพบปะกันอย่างสม่ำเสมอ หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเยือนสถานที่สำคัญทางศาสนา การร่วมเทศกาลทางศาสนา การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น ศิลปะ ดนตรี รวมไปถึงการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม การจัดมหกรรมกีฬา ทั้งนี้โดยคำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติของทั้งสองศาสนาด้วย แต่ที่ท้าทายยิ่งกว่านั้นก็คือการเปิดใจเรียนรู้จากกันและกัน โดยเฉพาะในด้านหลักธรรม ความเชื่อ และการปฏิบัติ ในฐานะชาวพุทธ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราสามารถเรียนจากชาวมุสลิมได้อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องสำนึกทางด้านความยุติธรรมและการสร้างชุมชนที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยศาสนา ทำให้ชุมชนทางโลกและชุมชนทางศาสนามิใช่สิ่งที่แยกออกจากกัน และทำให้ศาสนายังมีพลังอย่างน้อยในระดับชุมชน ขณะเดียวกันข้าพเจ้าเชื่อว่า จุดเด่นของศาสนาพุทธ ในเรื่องของเมตตาธรรม ความใจกว้าง และการตระหนักถึงการพึ่งพิงอิงอาศัยกันของสรรพชีวิต รวมทั้ง หลักความเป็นเหตุปัจจัยกันของสรรพสิ่ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อชาวมุสลิมไม่มากก็น้อย ด้วยการสานเสวนา (dialogue) อย่างสม่ำเสมอ และด้วยการเปิดใจกว้างต่อกัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าชาวพุทธและชาวมุสลิม จะเข้าใจกันดีขึ้น ขณะเดียวกันก็จะเห็นว่าเรามีความเหมือนมากกว่าความต่าง และความต่างที่มีอยู่ก็มิใช่เหตุผลให้เราแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันต่อไป ความยุติธรรมและสันติภาพย่อมเกิดขึ้นได้ยากตราบใดที่เราไม่สามารถมองทะลุ
ยี่ห้อ (ทั้งของเราและของคนอื่น) จนสามารถแลเห็นความเป็นมนุษย์ที่ผูกโยงเราทุกคนไว้อย่างแนบแน่น
ศาสนาทั้งหลายมีขึ้นเพื่อให้เราตระหนักถึงความจริงอันเป็นสากลข้อนี้ และด้วยเหตุนี้เราจึงควรปฏิบัติต่อกันฉันพี่น้อง
ใช่หรือไม่ว่านี้คือสิ่งที่จะช่วยให้พันธกิจต่อสิ่งสูงสุดในศาสนาของเรามีความครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น
|
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|