ประเภท : งานเขียน | |
![]() |
สุขใจเมื่อได้ช่วยผู้อื่น จัดพิมพ์โดย โรงเรียนวรรณสว่างจิต |
ทุกคืนหลังจากทำการบ้านเสร็จ “แก้วใจ” เด็กหญิงวัย ๑๔ จะนั่งรถไปกับพ่อแม่ เพื่อตระเวนไปตามจุดที่เกิดอุบัติเหตุ เธอเป็นอาสาสมัครอายุน้อยที่สุดของมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง หน้าที่หลักของเธอคือ ช่วยส่งของให้พ่อแม่ และจดรายละเอียดของผู้ประสบเหตุ บางครั้งก็ช่วยยกคนเจ็บขึ้นรถและเช็ดเลือดให้ เธอเล่าว่าตอนที่ทำงานครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๑ ปีนั้น รู้สึกกลัวมาก แต่ตอนหลังรู้สึกดีใจที่ได้ช่วยคน หลายคนรอดชีวิตได้เพราะเธอช่วยพาส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที “แก้วใจ”เป็นหนึ่งในบรรดาผู้คนมากมายที่ทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อยู่เงียบ ๆ บ้างก็ไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็กอ่อนที่กำพร้าพ่อแม่ บ้างก็ไปช่วยดูแลคนชราที่เจ็บป่วย อีกไม่น้อยไปช่วยปลูกป่ารักษาธรรมชาติ คนเหล่านี้เป็นคนเล็ก ๆ แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นยิ่งใหญ่มาก แรงจูงใจของเขาเหล่านั้น ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย เขาเพียงแต่นึกถึงคนอื่น อยากให้ผู้อื่นมีความสุข และอยากช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ เขาไม่ได้แค่ “อยาก”เท่านั้น แต่ยังลงมือทำด้วยตัวเอง โลกนี้ไม่ได้งดงามเพราะดอกไม้หลากสีสันเท่านั้น แต่ยังงามเพราะน้ำใจของผู้คนหลากวัยหลากความคิดที่ไม่ยอมนิ่งดูดายกับความทุกข์ยากหรือปัญหาที่เกิดขึ้น อันที่จริงน้ำใจของคนเหล่านี้ไม่ได้พร่างพรมให้โลกสดใสเท่านั้น แต่ยังชโลมใจของเราให้สดชื่นและอิ่มเอมด้วย เพียงแค่ได้ยินเรื่องของ “แก้วใจ” หรือเห็นหญิงสาวจูงคนตาบอดข้ามถนน รอยยิ้มก็บังเกิดขึ้นในหัวใจเรา คนเราโหยหาความดีงามไม่น้อยไปกว่าน้ำ อากาศ และอาหาร ทั้งนี้เพราะในส่วนลึกของใจเราทุกคนล้วนต้องการความดีงามเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แม้ว่าความสนุกสนานตื่นเต้นจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ในยามที่จิตนิ่งสงบ ปลอดจากสิ่งเร้าเย้ายวน ความรู้สึกปีติดื่มด่ำเมื่อได้ฟังเรื่องราวดี ๆ ของผู้คนกลับทำให้เราเป็นสุขได้มากกว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวความเสียสละของใครก็ตาม เราจะรู้สึกอยากทำความดีด้วย นั่นเพราะเราทุกคนมีความดีอยู่ในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น แม้เราจะนึกถึงตัวเองแค่ไหน เราก็ไม่อาจละเลยความดีดังกล่าวได้ จะเสพสุขใส่ตัวเพียงใด ในส่วนลึกก็ยังอยากทำความดี เพราะความดีกลางใจเรานั้นเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ ที่ปรารถนาจะแตกยอดออกเป็นต้นกล้า และรอวันเติบโตเป็นไม้ใหญ่ ความสุขไม่ได้เกิดจากการเสพหรือเอาเข้าตัวเท่านั้น ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลหรือการให้ก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอย่างหนึ่ง สุขเพราะเห็นผู้ทุกข์ยากได้แย้มยิ้ม เห็นโลกที่หดหู่แห้งแล้งกลับสดใสสวยงาม สุขเพราะได้ทำสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต ดังนั้นจึงทำให้ชีวิตมีความหมายยิ่งกว่าเดิม ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือ สุขเพราะได้ตอบแทนโลก ต้นไม้ไม่เคยลังเลที่จะทิ้งกิ่งใบเพื่อเป็นปุ๋ยแก่แผ่นดิน ทั้งนี้ก็เพราะต้นไม้สำนึกในบุญคุณของผืนดินที่เคยให้ปุ๋ยหล่อเลี้ยงแต่ครั้งยังเป็นต้นกล้า ต้นไม้ยังมีความสุขที่คายน้ำคืนสู่ฟ้า เพื่อขอบคุณที่ฟ้าได้โปรยฝนให้แก่ต้นไม้จนเติบใหญ่ วันนี้ต้นกล้าในใจเราอาจกำลังอัดแน่นด้วยความปรารถนาที่จะตอบแทนโลกและช่วยเหลือผู้คนอยู่ก็ได้ อย่าเฉยเมยความปรารถนาดังกล่าว อย่าปล่อยให้โอกาสดังกล่าวผ่านเลยไป ลองลุกขึ้นมาช่วยเหลือผู้อื่น เกื้อกูลส่วนรวม แล้วใจเราจะเบ่งบานด้วยความสุข |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|