สุขใจในนาคร มีนาคม
๒๕๔๘ พระไพศาล วิสาโล |
|
A Beautiful Mind เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองหลายรางวัลเมื่อปีที่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้หนึ่งที่คิดทฤษฎีสำคัญระดับโลกตั้งแต่อายุเพียง ๒๑ ปี และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในอีก ๕๐ ปีต่อมา จอห์น แนช คือชื่อของนักคณิตศาสตร์ผู้นี้ ที่ชีวิตต้องกลับพลิกผันเนื่องจากเป็นโรคจิตเภท ในภาพยนตร์เรื่องนี้อาการป่วยของเขาก็คือการเห็นภาพหลอนของคน ๓ คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องพัก อีกคนหนึ่งเป็นลูกเพื่อน คนสุดท้ายเป็นสายลับของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมาชวนให้เขาทำงานต่อต้านนักจารกรรมต่างชาติ สายลับคนนี้ชักนำให้เขาทำอะไรต่ออะไรมากมายที่แปลกประหลาด และสร้างความพิศวงงงงวยให้แก่ภรรยาและเพื่อน ๆ แนชมารู้ภายหลังว่าทั้ง ๓ คนไม่มีอยู่จริง หากเป็นภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นเองอย่างเป็นตุเป็นตะมานานหลายปี แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๓ คนก็ยังไม่ยอมหายไป หากตามมาหลอกหลอนเขาทุกหนแห่ง จนไม่เป็นอันทำอะไร แนชพยายามขับไล่ภาพหลอนทั้งสามออกไป บางครั้งถึงกับต่อสู้ปลุกปล้ำกับสายลับตนนั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง ใคร ๆ ก็เห็นว่าเขาบ้าแน่ที่ตะโกนโหวกเหวกและวิ่งเตะต่อยลมอยู่คนเดียว เขาถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าและรักษาตัวอยู่หลายปี ออกมาแล้วก็ยังเห็นภาพหลอนทั้งสามอยู่ แต่ระยะหลังเขาเริ่มเปลี่ยนท่าที แทนที่จะขับไล่และเข้าไปพันตูกับภาพหลอนเหล่านี้ เขาเริ่มไม่ให้ความสนใจกับมัน มันจะพูดจาชักชวนวิงวอนหรือท้าทายยั่วยุอย่างไร เขาก็ทำหูทวนลม ไม่อินังขังขอบ กำลังทำอะไรอยู่ ก็ทำสิ่งนั้นต่อไป ทีนี้ได้ผล ภาพหลอนแผลงฤทธิ์น้อยลง แม้จะยังมาปรากฏตัวอยู่ แต่ทิ้งห่างนานขึ้น หลายสิบปีผ่านไป ภาพหลอนก็ยังมาโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว เขารู้วิธีที่จะอยู่กับมันได้อย่างสันติ ในชีวิตจริงของแนช เขามีอาการหูแว่ว มิได้เห็นภาพหลอนอย่างในภาพยนตร์ แต่เรื่องราวที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์ ก็ให้แง่คิดเกี่ยวกับจิตใจของคนเรามิใช่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเป็นจิตเภทเลยก็ตาม คนปกตินั้นไม่เห็นภาพหลอนก็จริงอยู่ แต่ก็มักถูกความรู้สึกนึกคิดบางอย่างหลอกหลอนอยู่เสมอมิใช่หรือ เช่น อารมณ์โกรธ เกลียด พยาบาท หรือ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มั่นใจตนเอง บางคนเวลาจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ความล้มเหลวในอดีตก็ตามมาหลอกหลอน เสียงพร่ำย้ำเตือนว่า ทำไม่ได้ ๆ ๆ รบกวนจิตใจไม่รู้เลือน จะผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับใครสักคน ความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธหรือผิดหวัง ก็ตามมารังควานจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ก็เหมือนกับภาพหลอนในภาพยนตร์เรื่องที่กล่าวมา อย่างแรกที่เหมือนกันก็คือมันเป็นสิ่งที่จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง เหตุการณ์บางอย่างแม้จะเคยเกิดขึ้นจริงในอดีต แต่อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มิใช่ของจริงในปัจจุบัน เมื่อได้ที่หวนคำนึงถึงมัน ก็เท่ากับว่ามันกำลังถูกปรุงแต่งขึ้นมา ความเหมือนประการที่สองก็คือ ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ยิ่งขับไล่ไสสง มันยิ่งอยู่ยงคงทน ยิ่งสู้รบตบมือกับมัน มันยิ่งอาละวาด พิษสงเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งไปให้ความสนใจกับมัน มันยิ่งมีกำลัง ในภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ภาพหลอนทั้งสามพยายามเรียกร้องความสนใจจากแนช ขณะที่ภาพหลอนของสายลับพยายามพูดจายั่วโมโห ภาพหลอนของเพื่อนกลับพูดจาวิงวอนขอความเห็นใจ เมื่อใดที่แนชหันไปใส่ใจภาพหลอน มันก็ยิ่งได้ใจและมีอำนาจเหนือจิตใจของเขามากขึ้น ซึ่งทำให้เขาต่อต้านขัดขืนมันได้น้อยลง ใช่หรือไม่ว่าความโกรธเกลียดก็เช่นกัน
ยิ่งเราไปใส่ใจกับมัน และทำตามอำนาจของมัน เช่น มันสั่งให้ด่า ก็ด่าตามมัน
เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมัน กลายเป็นคนโกรธเกลียดง่ายขึ้น ทำนองเดียวกันกับความกลัว
ยิ่งขับไสมัน พยายามห้ามไม่ให้มันมา มันก็ยิ่งมาถี่ขึ้น เข้าทำนอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
เรื่องอะไรที่ไม่อยากคิด มันก็ยิ่งมาเร้าจิตให้คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าหากว่าจิตเริ่มตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว ทีนี้จะแผ่เมตตาไปให้เขาด้วย ก็ยิ่งดี แผ่ความปรารถนาดีให้ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ให้อารมณ์รุ่มร้อนเปลี่ยนเป็นอารมณ์สงบเย็น ให้ความกลัวและความน้อยเนื้อต่ำใจไปสู่ที่ชอบ ๆ อย่ามารบกวนกันอีกเลย แต่เขาจะไปหรือไม่ไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของเรา ทำแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีให้ดีที่สุด วิธีนี้จะทำให้จิตของเรามีภูมิต้านทานมากขึ้น มีความตั้งมั่นอยู่ที่ ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ คืออยู่กับปัจจุบันนั่นเอง อย่างนี้แหละที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่ามี สติ เมื่อมีสติตั้งมั่น จิตไม่โอนเอียงหวั่นไหวไปกับอะไรง่าย ๆ ก็หมายความว่าเรามี ไม้ตาย ที่จะจัดการกับความรู้นึกคิดที่มาหลอกหลอน ไม้ตายนั้นก็คือการเพ่งพินิจมันด้วยจิตที่สงบและวางเฉย สิ่งหลอนนั้นไม่คงทนต่อการเฝ้าดู เมื่อเฝ้าดูด้วยสติ มันก็ยากที่จะคงทนอยู่ได้ เด็กสาวคนหนึ่งฝันร้ายอยู่เป็นอาจิณ ในฝันเธอชอบวิ่งหนีอสูรร้ายเข้าไปยังตึกที่มืดมิด เมื่อไปถึงประตูก็พยายามเปิดแล้วรีบปิด แต่ไม่ทันจะปิด พวกมันก็ฝ่าประตูเข้ามาหาเธอ แต่ไม่ทันที่พวกมันจะทำอะไรเธอ เธอก็ตื่นขึ้นและร้องไห้ คราวหนึ่งเธอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง เพื่อนถามว่าอสูรร้ายพวกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เธอตอบว่าไม่รู้เพราะเอาแต่วิ่ง คำถามของเพื่อนทำให้เธอเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าอสูรพวกนี้เป็นแม่มดหรือเปล่า มีมีดหรือไม่ แล้วคืนหนึ่งเธอก็ฝันร้ายอีก อสูรร้ายวิ่งไล่เธอเช่นเคย ทีนี้เธอหยุดวิ่งและหันไปดูหน้าพวกมัน ใจหนึ่งก็กลัว แต่ก็รวบรวมความกล้า หันหลังชนกำแพง มองพวกมันชัด ๆ ปรากฏว่าเหล่าอสูรร้ายหยุดทันที พวกมันกระโดดขึ้นลง แต่ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้ เธอพบว่ามีอสูรร้ายอยู่ ๕ ตัว แต่ละตัวรูปร่างเหมือนสัตว์ป่า เมื่อเธอเข้าไปมองมันใกล้ ๆ มันดูน่ากลัวน้อยลง และดูคล้ายภาพวาดในการ์ตูนมากกว่า แล้วก็ค่อย ๆ เลือนหายไป หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้น แล้วไม่เคยฝันร้ายแบบนั้นอีกเลย ภาพวาดในการ์ตูนตามมาหลอกหลอนเธอในความฝัน หากเธอไม่เพ่งมองมันชัด ๆ เธอก็ไม่มีวันรู้ความจริง และยังคงถูกมันตามไล่ล่าอยู่ต่อไป ภาพหลอนนั้นกลัวการเฝ้ามอง เพราะวิธีนี้เท่านั้นที่ผู้มองจะค้นพบความจริงว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน มิใช่ความจริง ไม่มีอะไรที่ภาพหลอนจะกลัวเท่ากับความจริง และความจริงจะพบได้ก็โดยการเฝ้าดูด้วยจิตที่สงบไม่หวั่นไหวเท่านั้น แทนที่จะหนีและถูกความรู้สึกนึกคิดร้าย
ๆ ตามไล่ล่า แทนที่จะพันตูสู้รบเพื่อขับไล่ไสส่งมัน ลองฝึกใจไม่อินังขังขอบมันสักพัก
แล้วหันมาเฝ้าดูมันเฉย ๆ ดูบ้าง ความจริงจะปรากฏแก่เราในที่สุดว่ามันก็แค่สิ่งหลอนที่หามีพิษสงอะไรไม่
|
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|