![]() |
จิตวิวัฒน์ กรกฎาคม ๒๕๕๐ พระไพศาล วิสาโล |
มูลนิธิฉือจี้เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน
มีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศถึง ๖ แห่ง มีธนาคารไขกระดูกใหญ่เป็นอันดับ
๓ ของโลก มีสถาบัน การศึกษาที่ครบทุกระดับจากประถม มัธยม วิทยาลัย ไปจนถึงมหาวิทยาลัย
ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการสอนและการจัดกระบวนการเรียนรู้ มีสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเผยแพร่คุณธรรมผ่านเครือข่ายทั่วโลก
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์อีกมากมายกระจายทั่วประเทศ เช่น ช่วยเหลือคนยากจน
สงเคราะห์คนชรา ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งงานแยกขยะ ทั้งนี้โดยมีอาสาสมัครที่ทำงานอย่างแข็งขันถึง
๒ แสนคน บุคลากรเหล่านี้ไม่ได้อาศัยเงิน ชื่อเสียง อำนาจ หรือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นแรงขับเคลื่อนอย่างธุรกิจเอกชนหรือหน่วยงานรัฐ
แต่อาศัยคุณธรรมหรือความดีเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งทำให้เห็นเป็นแบบอย่างว่า
แม้ไม่ใช้ผลประโยชน์ส่วนตนหรือตัณหาเป็นแรงจูงใจ องค์กรอย่างฉือจี้ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพระดับชาติหรือระดับโลกได้ไม่แพ้บรรษัทข้ามชาติ
โดยก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษย์มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ๑.ศรัทธาในความดีของมนุษย์ทุกคน ชาวฉือจี้ได้รับแรงบันดาลใจจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ซึ่ง เน้นเสมอว่ามนุษย์ทุกคนมีโพธิสัตวภาวะอยู่แล้วในตัว แนวความคิดดังกล่าวทำให้ชาวฉือจี้มีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีเมตตากรุณาและคุณงามความดีอยู่แล้วในจิตใจ เป็นแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะนำคุณธรรมดังกล่าวออกมา หรือดูแลรักษาให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น แนวความคิดนี้เป็นที่มาของท่าทีและวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์ของฉือจี้ เช่น การมองคนในแง่บวก การกล่าวคำชื่นชมมากกว่าการตำหนิ การแสดงความเคารพและอ่อนน้อมต่อผู้อื่น แม้ในยามที่ไปช่วยเหลือเขาก็ตาม ๒.น้อมนำความดีออกมาจากใจ ฉือจี้มีวิธีการหลากหลายในการดึงความดีออกมาจากใจของผู้คน เริ่มจาก ก. เปิดโอกาสให้เขาได้ทำความดี
ฉือจี้พยายามเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำความดี โดยเริ่มตั้งแต่การให้ทานหรือบริจาคเงิน
ข.ชื่นชมมากกว่าตำหนิ ค.เห็นความทุกข์ของผู้อื่น
ง.แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกัน
๓. รวบรวมและประสานความดีให้เกิดพลัง เมื่อสามารถดึงความดีของแต่ละคนออกมาแล้ว ฉือจี้ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่ยังสามารถรวบรวมความดีของแต่ละคนมาผนึกให้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้ ตรงนี้อาจแตกต่างจากองค์กรศาสนาทั่ว ๆ ไป เช่น วัด ซึ่งเมื่อสอนให้คนทำดี หรือดึงความดีออกมาจากใจเขาแล้ว ก็มักจะปล่อยให้ต่างคนต่างทำความดีในชีวิตประจำวันตามปกติ เช่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น ทำบุญให้ทาน ความดีที่กระทำจึงมักเป็นความดีส่วนบุคคล ซึ่งแม้จะมีคุณค่า แต่ขาดพลังที่จะก่อให้ความเปลี่ยนแปลงในระดับสังคม ความสามารถในการประสานเชื่อมโยงความดีของบุคคลจำนวนมากมายให้เกิดพลังเป็นเรื่องของการจัดองค์กร จุดเด่นของฉือจี้อยู่ตรงที่มีการบริหารและจัดการอาสาสมัครที่ดี อาสาสมัครเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการรักษาและขยายจำนวนสมาชิก (อาสาสมัครที่ ฝึกงาน มีหน้าที่บอกบุญหาสมาชิกหรือผู้บริจาค ๒๕ รายเป็นประจำทุกเดือนในปีแรก และเพิ่มเป็น ๔๐ รายในปีที่สอง อีกทั้งยังไปเยี่ยมเยือนผู้บริจาคอย่างสม่ำเสมอ) ขณะเดียวกันยังมีการสร้างสายสัมพันธ์ในระดับต่าง ๆ อีกหลายด้าน เช่น สายสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครกับพี่เลี้ยง สายสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครด้วยกันตามศูนย์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนั้นในแต่ละเมืองยังมีการซอยย่อยออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มมีสมาชิกไม่เกิน ๒๐ คน มีหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ประสานงาน การจัดองค์กรในระดับนี้เอื้อให้เกิดกลุ่มกัลยาณมิตรที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อย่างใกล้ชิด ๔.หล่อเลี้ยงและเพิ่มพูนความดี ความดีนั้นนอกจากจะต้องนำออกมาและใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว จำเป็นต้องมีการหล่อเลี้ยงรักษาและทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น จึงจะก่อให้เกิดผลสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน กระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องของ การศึกษา หรือ ไตรสิกขาตามหลักพุทธศาสนาโดยตรง แต่เวลาพูดถึงการศึกษา เรามักนึกถึงครูและห้องเรียน แท้ที่จริงการศึกษาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและในทุกรูปแบบ กรณีฉือจี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่ใช้วิธีการหลากหลายในการหล่อเลี้ยงและเพิ่มพูนความดีของบุคคล เช่น การปลูกฝังคุณธรรมผ่านการทำงานอาสาสมัคร (เป็นธรรมดาที่จะเห็นนักธุรกิจหรือซีอีโอของฉือจี้ยืนถือกล่องรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย นั่งแยกขยะ หรือกวาดใบไม้ในโรงพยาบาล เช่นเดียวกับเด็กเรียนดีจะได้รับเกียรติให้ทำความสะอาดห้องน้ำในโรงเรียน) การเคารพและเห็นคุณค่าของผู้อื่นผ่านการเรียนรู้ชีวิตของเขา การมีกำลังใจทำความดีผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น การซึมซับความดีงามผ่านการเล่านิทาน เล่นละคร หรือวาดภาพ (ซึ่งใช้มากในโรงเรียนประถมของฉือจี้) ที่น่าสนใจอีกอย่างคือการส่งเสริมคุณธรรมด้วย จริยศิลป์ ได้แก่ การจัดดอกไม้ ชงชา และเขียนพู่กันจีน ซึ่งแม้แต่นักศึกษาแพทย์ก็ยังต้องเรียน ทั้งนี้เพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้ละเมียดละไม และหล่อหลอมให้นักศึกษามีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ กระบวนการจัดการความดีทั้ง ๔ ประการ จะเห็นได้ว่ามีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
เริ่มจาก การเชื่อมั่นและมองเห็นความดีในมนุษย์ทุกคน จากนั้นก็พยายามน้อมนำความดีออกมาจากใจของเขา
แล้วรวบรวมความดีเหล่านั้นมาผนึกเป็นพลังสร้างสรรค์ พร้อมกันนั้นก็มีการหล่อเลี้ยงและต่อเติมความดีเพื่อให้มีความให้ยั่งยืนและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย
ๆ |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|