|
|
มูลนิธิฉือจี้เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศถึง ๖ แห่ง มีธนาคารไขกระดูกใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก มีสถาบัน การศึกษาที่ครบทุกระดับจากประถม มัธยม วิทยาลัย ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการสอนและการจัดกระบวนการเรียนรู้ มีสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเผยแพร่คุณธรรมผ่านเครือข่ายทั่วโลก นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์อีกมากมายกระจายทั่วประเทศ เช่น ช่วยเหลือคนยากจน สงเคราะห์คนชรา ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งงานแยกขยะ กิจการเหล่านี้ดำเนินและขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเงินบริจาคจากสมาชิกที่มีเกือบ ๖ ล้านคน (หรือเกือบ ๑ ใน ๔ ของประชากรไต้หวัน) รวมทั้งเงินที่เกิดจากกิจกรรมของสมาชิก (เช่น เงินจากการแยกขยะ) แต่ปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเงินก็คือ กำลังของอาสาสมัคร ซึ่งมีไม่น้อยกว่า ๒ แสนคนทั่วประเทศ อาสาสมัครเหล่านี้เข้าไปช่วยผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ให้ดำเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและขยายตัวไปทั่วประเทศ จนปัจจุบันสามารถขยายไปยังต่างประเทศ โดยมีสาขาถึง ๓๙ ประเทศ ลักษณะเด่นของฉือจี้ มูลนิธิฉือจี้ยังมีธนาคารไขกระดูกที่ใหญ่เป็นอันดับ ๑ ของเอเชีย และเป็นอันดับ ๓ ของโลก ทั้งนี้เพื่อนำไขกระดูก (ที่ตรงกับผู้ป่วย)มาใช้ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดเลือด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่โรงพยาบาลของฉือจี้มีความสามารถเป็นพิเศษ ข.การศึกษา ค.งานสงเคราะห์ผู้ประสบภัย จ. สถานีโทรทัศน์ ๒. คุณภาพของคน อาสาสมัครของฉือจี้ยังมีลักษณะเด่นอีกประการหนึ่ง คือการไม่รังเกียจงาน บ่อยครั้งจะพบผู้บริหารบริษัทไปยืนถือกล่องรับบริจาคตามที่สาธารณะ หรือริดกิ่งไม้ เก็บกวาดขยะ ในโรงพยาบาล ความที่ฉือจี้มีอาสาสมัครจำนวนมากที่พร้อมจะทิ้งงานประจำ ออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที ฉือจี้จึงสามารถส่งคนไปยังทุกหนแห่งทั่วโลกที่เกิดภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอาฟริกาหรืออเมริกา (ฉือจี้เป็นหน่วยงานเอกชนแรก ๆ ที่ถึงอาฟกานิสถานหลังจากสหรัฐส่งกองทัพไปกวาดล้างกลุ่มทะลิบัน) ทั้งนี้โดยสมทบกับอาสาสมัครท้องถิ่นของฉือจี้เอง (ปัจจุบันได้ออกไปช่วยเหลือกว่า ๖๐ ประเทศแล้ว) ขณะเดียวกันความสามารถทางด้านวิชาชีพของอาสาสมัคร ทำให้ฉือจี้สามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับงานด้านต่าง ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งงานสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ซึ่งบางครั้งลำพังแรงใจและกำลังเงินไม่เพียงพอที่จะช่วยให้งานประสบผล ๓. กระบวนการกล่อมเกลาจิตใจ ๔. การสร้างเครือข่ายสมาชิกและบริหารจัดการอาสาสมัคร หัวใจของความสำเร็จ
การใช้ความดีเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดงานสร้างสรรค์จำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน ๆ ทั่วโลก โดยเริ่มต้นจากคนเล็กคนน้อยเพียง ๓๐ คน และเงินบริจาควันละ ๕๐ เซนต์ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว จะเรียกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ก็คงไม่ผิด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ลำพังเจตนาดีย่อมไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยความสามารถอย่างมาก ความสามารถที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การดึงเอาความดีจากแต่ละคนออกมา และนำมารวมกันให้มากพอจนเกิดพลัง ขณะเดียวกันก็รักษาความดีนั้นให้คงอยู่ และพัฒนาให้เพิ่มพูนมากขึ้น กระบวนการเหล่านี้ อาจเรียกได้ว่า การจัดการความดี ปัจจุบันมีการพูดถึงการจัดการเงินทุน การจัดการบุคลากร การจัดการทรัพยากร รวมทั้งการจัดการความรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพูดถึงกันน้อยก็คือ การจัดการความดี ในเมื่อความดีนั้นมีพลังไม่น้อยไปกว่าเงินทุนและความรู้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่อง การจัดการความดี ชนิดที่ควรพัฒนาเป็นศาสตร์และศิลป์ อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องพัฒนาศาสตร์และศิลป์ดังกล่าวจากความว่างเปล่า หากสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์จริง มูลนิธิฉือจี้เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการจัดการความดี ซึ่งน่าที่คนไทยจะได้เรียนรู้และนำมาพัฒนาให้เหมาะกับสภาพความเป็นจริงของเราเอง การจัดการความดีของฉือจี้ ในขณะที่คนจำนวนไม่น้อยถือเอาพระโพธิสัตว์เป็นที่พึ่งเพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากความทุกข์นั้น ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนได้เน้นว่ามนุษย์ทุกคนมีโพธิสัตวภาวะอยู่แล้วในตัว โพธิสัตว์จึงไม่ได้อยู่เบื้องบนหรือสถิตอยู่ในสวรรค์ หากคือตัวเรานั่นเอง ทุกคนเป็นโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น หากอุทิศตนเพื่อสรรพชีวิต ดังท่านได้ย้ำว่า หากแต่ละคนช่วยเพื่อนมนุษย์ได้ ๕๐๐ คน ก็เท่ากับว่ามี ๑,๐๐๐ มือไม่ต่างจากพระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเป็นอุดมคติอันสูงส่งที่ยากจะบรรลุ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้เพราะมีอยู่แล้วในตัว การมองเห็นคนทุกคนเป็นโพธิสัตว์นั้นสะท้อนได้จากลายปูนปั้นภาพเทวดาหรือโพธิสัตว์ที่ประดับตามอาคารในสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลของฉือจี้ เทวดาหรือโพธิสัตว์เหล่านั้นไม่ได้เป็นไปตามขนบเดิม หากเป็นภาพคนธรรมดาในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น แพทย์ พยาบาล นักธุรกิจ ชาวบ้าน เป็นต้น แนวความคิดดังกล่าวมีส่วนในการปลูกฝังให้ชาวฉือจี้มีทัศนะว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีเมตตากรุณาและคุณงามความดีอยู่แล้วในจิตใจ เป็นแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะนำคุณธรรมดังกล่าวออกมา หรือดูแลรักษาให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น แนวความคิดนี้เป็นที่มาของท่าทีและวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์ของฉือจี้ เช่น การมองคนในแง่บวก การกล่าวคำชื่นชมมากกว่าการตำหนิ การแสดงความเคารพและอ่อนน้อมต่อผู้อื่น แม้ในยามที่ไปช่วยเหลือเขาก็ตาม รวมไปถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาบุคลากรตามสถาบันการศึกษาของฉือจี้ ดังจะได้กล่าวต่อไป ๒. การน้อมนำความดีออกมาจากใจ ฉือจี้พยายามเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำความดี โดยเริ่มตั้งแต่การให้ทานหรือบริจาคเงิน หน้าที่หลักประการหนึ่งของอาสาสมัคร ฝึกงานของฉือจี้ คือการบอกบุญหาสมาชิกคือผู้บริจาคเงินเป็นประจำแก่มูลนิธิ ๒๕ คน(ปีแรก)และ ๔๐ คน(ปีที่สอง) จุดสำคัญมิได้อยู่ที่จำนวนเงินบริจาค แต่อยู่ที่การเปิดโอกาสให้เขาทำความดีอย่างสม่ำเสมอ เคยมีผู้ถามท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนว่า ระหว่างการบริจาคเงินทุกวัน ๆ ละ ๕๐ เซนต์ กับการบริจาคเงินเดือนละครั้ง ๆละ ๑๕ เหรียญ เหตุใดท่านจึงสนับสนุนให้คนทำอย่างแรก ทั้ง ๆ ที่ก็จำนวนเงินที่ได้ก็เท่ากัน ท่านตอบว่า การบริจาคทุกวัน แม้จะเป็นจำนวนเงินเล็กน้อย แต่ก็เป็นการบ่มเพาะความรักและจิตใจที่จะให้แก่ผู้อื่นทุก ๆ วัน ซึ่งทำให้เขามีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความปีติจากการให้ทุก ๆ วัน การบริจาคเงินทุกวัน เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองทำความดีทุกวัน ความดีที่ถูก ใช้งานอยู่บ่อย ๆ ย่อมมีความเข้มแข็ง ไม่ต่างจากร่างกายที่ออกกำลังบ่อย ๆ แม้เพียงวันละเล็กละน้อยย่อมมีสุขภาพดี ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีติจากการทำความดีแม้เพียงเล็กน้อยทุก ๆ วันจะช่วยทำให้จิตใจที่ใฝ่ดีเจริญงอกงามยิ่งขึ้น เหมือนกับต้นกล้าที่ถูกรดน้ำบ่อย ๆ ฉือจี้ยังได้อาศัยการบอกบุญเป็นจุดเริ่มต้นในการพาผู้คน(โดยเฉพาะคนรวย)ให้มีโอกาสทำความดีในขั้นต่อ ๆ ไปที่มีอานิสงส์มากกว่า ได้แก่ การทำงานเพื่อส่วนรวม กล่าวคือทุกครั้ง(หรือทุกเดือน)ที่อาสาสมัครฝึกงานไปเยี่ยมเยือนและรับเงินบริจาคจากสมาชิก จะมีการแนะนำและรายงานกิจกรรมต่าง ๆ ของฉือจี้ให้ฟัง โดยเฉพาะงานสาธารณประโยชน์ รวมทั้งมีการเชิญชวนให้ไปร่วมงานดังกล่าวด้วย งานแยกขยะเป็นงานหนึ่งที่เปิดโอกาสอย่างกว้างขวางให้ผู้คนมีส่วนร่วมในการทำความดี เพราะเป็นงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะมาก อีกทั้งมีสถานที่รองรับอาสาสมัครได้ถึง ๕,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ งานแยกขยะดูเผิน ๆ เป็นงานที่ไม่น่าสนใจ หรือไม่มีอะไรที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับงานการแพทย์ การศึกษา และสถานีโทรทัศน์ของฉือจี้ (ผู้เขียนเองทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้มาดูโรงงานแยกขยะเป็นจุดแรกทันทีที่ถึงไต้หวัน) แต่แท้จริงเป็นงานที่สำคัญมาก เพราะเป็นงานพื้นฐานที่รองรับกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของฉือจี้ ในแง่รายได้ ปรากฏว่า ๑ ใน ๔ ของทุนสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายมาจากการแยกขยะ แต่สิ่งที่น่าจะสำคัญกว่ารายได้ก็คือการบ่มเพาะจิตสำนึก โดยเฉพาะการทำให้หลายคนกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง โดยเฉพาะคนชรา ซึ่งปลดเกษียณหรือว่างงาน (แถมยังไม่มีหลานให้เลี้ยงเหมือนคนแก่ในสังคมชนบท เพราะครอบครัวในเมืองส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว) คนชราเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการแยกขยะ หลายคนพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นภาระสังคม แต่ยังสามารถช่วยเหลือสังคมและโลกได้ บางคนพูดว่าตนเองเป็นเสมือน ขยะคืนชีพ จะเห็นได้ว่าการได้ทำความดีต่อส่วนรวมนั้น ไม่เพียงทำให้พลังฝ่ายบวกเจริญงอกงามในจิตใจ หากยังช่วยให้มองเห็นด้านดีของตัวเอง หรือเกิดมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับตัวเอง ทำให้อยากทำความดียิ่งขึ้น จะว่าไปแล้วงานแยกขยะหรือการรีไซเคิลขยะโดยตัวมันเองได้ทำให้หลายคนตระหนักว่า แม้แต่ขยะยังมีคุณค่าซึ่งสามารถยังประโยชน์ได้มากมายอย่างที่นึกไม่ถึง ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่ดูเหมือนไร้ค่า ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็น ขยะ หรือ ภาระของสังคม ก็มีคุณค่าอยู่มิใช่น้อย ขอเพียงแต่รู้จักดึงคุณค่าของเขาออกมา ทัศนะดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะช่วยเสริมให้บุคคลากรของฉือจี้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อสิ่งต่าง ๆ และต่อผู้คน ทั้งที่ได้กล่าวมาแล้วและจะกล่าวต่อไป ค.การแสดงความชื่นชมมากกว่าตำหนิ
การแสดงความชื่นชมเป็นวิธีการที่ฉือจี้นำมาใช้ในทุกระดับ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ ทั้งนี้โดยอิงอยู่กับความเชื่อพื้นฐานว่าทุกคนมีคุณงามความดีอยู่ในตัว หน้าที่ของทุกคนคือมองให้เห็นความดีของเขา แม้จะหลบซ่อนหรือมีอยู่น้อยนิด แม้แต่นักเรียนที่ดูเหมือนจะเอาดีอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่การที่ครูได้พูดชมเขาในสิ่งที่ดูเหมือนจะเล็กน้อย ก็อาจทำให้ความดีและศักยภาพที่มีอยู่น้อยนิดหรือถูกกดทับนั้นมีพลังที่จะแสดงตัวออก ดังมีเรื่องเล่าว่านักเรียนคนหนึ่งซึ่งไม่เอาถ่าน แต่ในที่สุดกลายเป็นนักวาดที่สามารถ เพียงเพราะว่าครูได้ชมภาพตวัดพู่กันของเขา ทั้ง ๆ ที่เขาทำอย่างเสียไม่ได้ แต่คำชมนั้นก็ทำให้นักเรียนมีกำลังใจ และหมั่นฝึกตวัดพู่กันจนชำนาญ สำหรับคนที่ชอบมองคนในแง่ลบ การแสดงความชื่นชมเป็นเรื่องยากมาก แต่การถูกฝึกให้ชมผู้อื่นอยู่เสมอ ก็ช่วยให้เห็นคนในแง่บวกมากขึ้น ซึ่งในที่สุดก็จะกลับมาช่วยให้เขาเห็นตัวเองในแง่บวก และเห็นคุณค่าของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัว ตลอดจนเห็นแง่ดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว แม้จะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็น เคราะห์ เช่น มีคนหนึ่งถูกโกงเงิน ๖๐ ล้านเหรียญไต้หวัน ทีแรกก็ทุกข์มาก แต่ต่อมาก็ปล่อยวางได้เพราะเห็นว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีข้าวกินและมีบ้านอยู่อย่างสบาย สิ่งที่ทำควบคู่กับการเห็นคุณค่าของทุกชีวิตและสรรพสิ่ง ก็คือการขอบคุณ คำว่า ขอบคุณ (กั่นเอิน) เป็นคำที่ชาวฉือจี้พูดบ่อยมาก ไม่ว่าเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชาวฉือจี้จะได้รับการปลูกฝังให้ซาบซึ้งในบุญคุณและขอบคุณสิ่งเหล่านั้น ในทำนองเดียวกันไม่ว่าจะทำงานหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร การขอบคุณเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญ แม้แต่เวลาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ก็ควรขอบคุณเขาเหล่านั้นที่เปิดโอกาสให้เราได้ทำความดี การขอบคุณผู้คนด้วยความจริงใจ ช่วยให้ผู้ถูกขอบคุณเกิดความรู้สึกที่เป็นกุศล และหากการขอบคุณนั้นเกิดจากการที่ตนเองทำความดี ก็ทำให้ตนเองอยากทำความดีเพิ่มขึ้น ง.การเห็นความทุกข์ของผู้อื่น
ในระยะหลัง ฉือจี้ได้ทำกิจกรรมดังกล่าวกับเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมในโรงเรียนของฉือจี้เอง มีการพานักเรียนไปเยี่ยมคนชรา คนป่วย พร้อม ๆ กับการไปทำงานบริการช่วยเหลือเขา ทำให้จิตใจเกิดความเห็นอกเห็นใจ อยากทำความดีมากขึ้น จ.การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ในระดับย่อย ๆ ยังมีการสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกที่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ (ประมาณ ๒๐ คน) เป็นประจำ ซึ่งมีอยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศ อีกตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ การนำวิธีนี้ไปใช้กับนักเรียนแพทย์ ก่อนที่นักศึกษาแพทย์จะทำการเรียนรู้จาก อาจารย์ใหญ่หรือผู้ที่อุทิศร่างเพื่อการศึกษา นักศึกษาทั้งกลุ่ม (๔-๕ คน) จะต้องไปเยี่ยมและสนทนากับครอบครัวของอาจารย์ใหญ่ เพื่อเรียนรู้ประวัติและเรื่องราวของผู้ที่อุทิศร่างให้ จุดมุ่งหมายที่เป็นรูปธรรมก็คือเพื่อเขียนชีวประวัติโดยย่อของอาจารย์ใหญ่สำหรับนำไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ของฉือจี้ (เช่น เว็บไซต์ รวมทั้งติดที่ข้างเตียงผ่าศพ) แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญกว่านั้นก็คือเพื่อให้เห็นคุณงามความดีของอาจารย์ใหญ่ และเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา ทำให้นักศึกษาแพทย์ปฏิบัติต่อร่างของอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคารพ และตระหนักว่าความรู้และทักษะทางการแพทย์ของตนเกิดจากความเสียสละของผู้อื่น เมื่อจบการศึกษาไปเป็นแพทย์ สำนึกดังกล่าวย่อมช่วยให้เกิดความตั้งใจที่จะเสียะสละเพื่อผู้อื่นเป็นการตอบแทน ยิ่งกว่าที่จะแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ขณะเดียวกันการได้เรียนรู้เรื่องชีวิต ความรู้สึก แรงบันดาลใจ และสุขทุกข์ของอาจารย์ใหญ่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยให้นักศึกษาแพทย์มีทัศนคติต่อชีวิตในมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจถึงมิติทางสังคมและจิตวิญญาณของผู้คน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาในการปฏิบัติต่อผู้ป่วยในฐานะมนุษย์ คือเห็นเขาครบทุกมิติ มิใช่สนใจแต่กายภาพของเขาเท่านั้น นั่นคือ ทำให้เขาหันมารักษา คน มากกว่ารักษา ไข้ มีอาจารย์ใหญ่คนหนึ่ง ก่อนเสียชีวิตได้ป่วยเป็นมะเร็งตับ เมื่อพบว่าตนเองไม่มีโอกาสรักษาให้หายได้ จึงปฏิเสธการผ่าตัด ฉายแสง หรือเคมีบำบัด ทั้งนี้เพราะอยากอุทิศร่างให้แก่นักศึกษา แต่กลัวว่าวิธีดังกล่าวจะทำให้ศพเสียสภาพ ไม่สามารถใช้ผ่าศึกษาได้ จึงรับแต่ยาบรรเทาปวดไปจนหมดลม เรื่องราวของบุคคลเช่นนี้ ยากนักที่จะไม่บันดาลใจให้นักศึกษาแพทย์เกิดความกตัญญูรู้คุณอาจารย์ใหญ่ และมุ่งมั่นที่จะทำความดีอย่างอาจารย์ใหญ่บ้าง จะเห็นได้ว่า การสนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องราวที่เหมาะสม เรื่องของบุคคลที่จะมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตนักศึกษาของเขาตลอด ๔ ปีข้างหน้า สามารถดึงคุณธรรมของนักศึกษาแพทย์ออกมาได้อย่างมีพลัง ฉ.การมีเมตตาหรือความรักต่อผู้อื่น
คุณสมบัติข้างต้นถือว่าเป็นหัวใจของฉือจี้เลยทีเดียว ดังกล่าวแล้วว่าในทัศนะของฉือจี้ ทุกคนคือโพธิสัตว์ และคุณลักษณะสำคัญของโพธิสัตว์คือเมตตากรุณา ชาวฉือจี้จำนวนไม่น้อยมีปณิธานที่จะดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งโพธิสัตว์ โดยพยายามเจริญเมตตาอย่างไม่มีประมาณ สะท้อนได้จากเพลงหนึ่งซึ่งชาวฉือจี้นิยมร้อง มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า ทั่วฟ้าดินนี้ ไม่มีใครที่ฉันไม่รัก ทั่วฟ้าดินนี้ ไม่มีใครที่ฉันไม่เชื่อใจ ทั่วฟ้าดินนี้ ไม่มีใครที่ฉันไม่ให้อภัย เมตตานั้นโดยทั่วไปคนไทยแปลว่า ความปรารถนาให้เขาได้รับความสุข แต่ในหมู่ชาวฉือจี้ เมตตาหมายถึง ความรักโดยไม่แบ่งแยก ธรรมอีก ๓ ประการ ก็ถูกตีความแตกต่างกันไป กล่าวคือ กรุณา หมายถึง การลงมือช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ (เถรวาทแปลว่า ความปรารถนาให้เข้าพ้นทุกข์) มุทิตาหมายถึง ความสุขที่เกิดจากการช่วยผู้อื่นให้เป็นสุข (เถรวาทแปลว่า ความยินดีเมื่อเขาได้ดีหรือมีความสุข) และ อุเบกขา ซึ่งแปลว่า การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน (เถรวาทแปลว่า การวางเฉยเมื่อทำดีอย่างถึงที่สุดแล้ว) ในบรรดาพรหมวิหารธรรมดังกล่าว ข้อแรกและข้อสุดท้ายเป็นธรรมที่ชาวฉือจี้เน้นมากที่สุด นั่นคือรักโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นใครก็ตาม และให้โดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว (รวมถึงการไปสวรรค์หรือบรรลุนิพพาน) เวลาทำบุญหรือให้ทาน คำอธิษฐานของชาวฉือจี้ คือ ๑. ขอให้จิตมนุษย์มีความบริสุทธิ์ ๒. ขอให้สังคมมีความสงบสุข ๓. ขอให้โลกปลอดพ้นจากภัยพิบัติ เมตตาคือหลักธรรมสำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนงานทุกด้านของฉือจี้ ซึ่งล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น สมนามฉือจี้ซึ่งแปลว่า เมตตาสงเคราะห์ หรือ สงเคราะห์ด้วยเมตตา ขณะเดียวกันเมตตายังเป็นเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่ฉือจี้ใช้เปิดใจของผู้คนเพื่อให้ความดีงามพรูพรั่งหลั่งไหลออกมาทั้งในรูปของเงินบริจาค และอาสาสมัคร (ตรงนี้อาจต่างจากที่เมืองไทย ซึ่งจูงใจให้คนทำความดีด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น เพื่อความมั่งมีศรีสุข เพื่อเพิ่มพูนบุญกุศล เพื่อชาติหน้า หรือเพื่อนิพพาน) การชักชวนคนทำดี จะเน้นการสร้างเมตตาให้เกิดขึ้นในใจเป็นเบื้องแรก เช่น ชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ ขณะเดียวกันเมื่อลงมือทำงาน ก็อาศัยเมตตาเป็นแรงบันดาลใจ และเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ก็เอาเมตตาเป็นตัวนำ กล่าวโดยสรุป หากนำลักษณะเด่น ๓ ประการของมูลนิธิฉือจี้ งาน เงิน และคน มาจัดเป็นรูปสามเหลี่ยม สิ่งที่เป็นแกนกลางซึ่งขับเคลื่อนผลักดันทุกส่วนก็คือ เมตตา นั่นเอง (ดังรูป) ๓. การรวบรวมและประสานความดีให้เกิดพลัง แต่ฉือจี้ดูเหมือนจะไม่ได้ฝากความหวังไว้กับคนดีที่มีอำนาจ แต่ให้ความสำคัญกับคนธรรมดา ๆ มากกว่า โดยเชื่อว่าหากนำความดีของคนเหล่านี้มารวมกัน แม้จะเป็นคนเล็กคนน้อย แต่ก็สามารถบันดาลพลังสร้างสรรค์ที่มีอานุภาพหรือทำเรื่องยาก ๆ ขึ้นมาได้ ประวัติของฉือจี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของคนเล็กคนน้อยที่รวมพลังทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้ เห็นได้จากจุดเริ่มต้นของฉือจี้ที่เกิดจากแม่บ้าน ๓๐ คนซึ่งบริจาคเงินคนละ ๕๐ เซ็นต์ (๒๕ สตางค์)ทุกวัน แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงชั่วอายุคน นอกจากช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากจนนับไม่ถ้วนแล้ว ยังสามารถสร้างโรงพยาบาลราคา ๘๐๐ ล้านได้ ( ๘ เท่าของงบประมาณของทั้งจังหวัด)โดยอาศัยเงินบริจาคของคนเล็กคนน้อย (มีเรื่องเล่าว่าตอนที่ท่านมีความคิดจะสร้างโรงพยาบาลนั้น ฉือจี้มีเงินทุนน้อยมาก และไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่ท่านธรรมาจารย์เชื่อมั่นว่าจะสามารถหาเงินมาได้ในที่สุด ในที่สุดโรงพยาบาลก็สร้างเสร็จได้ในเวลา ๗ ปี ก่อนหน้านั้นมีเศรษฐีชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งเสนอตัวบริจาคเงินนับร้อยล้านเพื่อสร้างโรงพยาบาลดังกล่าว แต่ท่านธรรมาจารย์ปฏิเสธ เพราะปรารถนาจะให้คนทั่ว ๆ ไปมีส่วนร่วมสร้างโรงพยาบาลนี้มากกว่า) แม้ว่าระยะหลังจะมีเศรษฐีมาเป็นสมาชิกและอาสาสมัครของฉือจี้เป็นจำนวนมาก แต่ความสำเร็จของฉือจี้ก็ยังมาจากคนธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งปัจจุบันฉือจี้มีสมาชิกเกือบ ๖ ล้านคน และอาสาสมัครไม่ต่ำกว่า ๒ แสนคน ก็ยิ่งสามารถขยายงานสร้างสรรค์ออกไปได้อย่างกว้างขวาง จนข้ามไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกมุมโลก โดยไม่มีเงินสนับสนุนจากรัฐเลย จะว่าไปแล้วงานแยกขยะซึ่งเป็น หน้าตาประการหนึ่งของฉือจี้นั้น เป็นตัวแทนแนวคิดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะขยะนั้นดูไร้ค่าต่ำต้อย แต่หากเห็นคุณค่าแม้เพียงน้อยนิดของขยะ แล้วดึงคุณค่านั้นออกมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์ใหม่ ขยะที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ก็สามารถก่อให้เกิดมูลค่าจำนวนนับพันล้านบาท เป็นทุนอุดหนุนสถานีโทรทัศน์ที่ทันสมัยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ความสำเร็จของฉือจี้จึงเป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่ประมาทความดีแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นคติข้อหนึ่งของพุทธศาสนา ความดีแม้เพียงเล็กน้อยหากสะสมกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว ย่อมเป็นมหากุศล ดังพระพุทธองค์เปรียบหยดน้ำซึ่งเมื่อรวมกันย่อมกลายเป็นมหาสมุทร ด้วยเหตุนี้ท่านธรรมาจารย์จึงไม่เคยรังเกียจเงินบริจาคแม้เพียงเล็กน้อย ขอเพียงบริจาคสม่ำเสมอทุกวัน อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของสิ่งเล็กน้อย ชาวฉือจี้บางคนได้เปรียบเทียบเหมือนกับอาคารโรงพยาบาลของฉือจี้ซึ่งใหญ่โตมหึมาแต่ประกอบขึ้นมาจากกรวดก้อนเล็ก ๆ มากมายมหาศาลที่เห็นได้ตามผนังด้านนอกของตึก (อาคารของฉือจี้จะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนคือ นอกจากแข็งแรง อดทน ชนิดที่ทานแผ่นดินไหวได้แล้ว ยังมีสีขาวอมเทา และมีกรวดก้อนเล็ก ๆ มากมายฉาบตามผนังและเสาตึกที่ใหญ่หลายคนโอบ) ข้างต้นคือแนวคิดพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฉือจี้ แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย นั่นคือ ความสามารถในการประสานเชื่อมโยงความดีของบุคคลจำนวนมากมายให้เกิดพลังสร้างสรรค์ ความสามารถส่วนนี้เป็นเรื่องของการจัดองค์กรที่มีหลายด้าน และมีความสัมพันธ์พาดผ่านกันหลายลักษณะ ผู้เขียนมีเวลาศึกษาไม่มาก แต่เท่าที่ได้รับทราบมา จะมีการจัดองค์กรและความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้ ๑.การจัดองค์กรในภาพรวม ชั้นที่อยู่ถัดออกมา คือสมาชิกของฉือจี้ แบ่งเป็น ๔ ระดับคือ สมาชิกเต็มขั้น ที่ผ่านการอบรมจนเข้าใจจิตวิญญาณและแนวทางของฉือจี้ และแสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความเสียสละและมุ่งมั่นในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ระดับที่สอง ได้แก่สมาชิกขั้นอบรม ซึ่งต้องเป็นอาสาสมัครทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า ๒ ปี จึงจะเลื่อนเป็นสมาชิกเต็มขั้นได้ ระดับที่สามคือ สมาชิกขั้นฝึกงาน ซึ่งต้องทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า ๑ ปี จึงจะเลื่อนเป็นสมาชิกขั้นอบรมได้ งานที่อาสาสมัครเหล่านี้ทำเป็นประจำได้แก่ เยี่ยมบ้านคนป่วยอนาถา ช่วยงานในโรงพยาบาลและสถานศึกษาของฉือจี้ เก็บและแยกขยะในชุมชน สงเคราะห์ผู้ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งเยี่ยมเยือนสมาชิกผู้บริจาคเงินสนับสนุนมูลนิธิ อาสาสมัครเหล่านี้มีร่วม ๒ แสนคน กระจายไปทั่วเกาะ ถัดจากนั้นเป็นสมาชิกผู้สนับสนุน ซึ่งบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเป็นประจำ บุคคลเหล่านี้สัมพันธ์กับมูลนิธิโดยผ่านอาสาสมัครซึ่งไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน สมาชิกจึงทราบข่าวคราวและกิจกรรมของฉือจี้อย่างต่อเนื่อง การมีอาสาสมัครมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ ยังเป็นโอกาสที่สมาชิกจะซึมซับรับเอาแนวคิดหรืออุดมคติของฉือจี้ จนอาจมีจิตปรารถนาที่จะช่วยเหลือมากกว่าการบริจาคเงิน หรือปรารถนาที่จะเขยิบไปเป็นอาสาสมัครของฉือจี้ สมาชิกส่วนใหญ่ของฉือจี้เป็นสมาชิกระดับนี้ซึ่งมีกว่า ๕ ล้านคน อันที่จริงยังมีผู้สนับสนุนประเภทหนึ่งคือ บริจาคเงินก้อนให้มูลนิธิ ผู้ที่บริจาคให้ ๑ ล้านเหรียญไต้หวัน จะได้รับตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์ มีสถานะคล้ายกับสมาชิกเต็มขั้นของฉือจี้ (เช่น มีสิทธิติดสัญลักษณ์หรือใส่เครื่องแบบฉือจี้ คือ เสื้อน้ำเงิน กางเกงขาว เป็นต้น) สมาชิกประเภทนี้มีขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้คนรวยแต่ไม่มีเวลามารับการฝึกฝนเป็นอาสาสมัคร ๒ ปี สามารถเข้ามาทำงานให้กับฉือจี้ได้ ชั้นนอกสุดของเครือข่ายคือประชาชนทั่วไป ซึ่งได้รับประโยชน์จากกิจกรรมด้านต่าง ๆ ของฉือจี้ เช่น ผู้ที่ไปรับการเยียวยารักษาจากโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนไปจนถึงมหาวิทยาลัย ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากงานสงเคราะห์ และผู้ชมรายการโทรทัศน์ของฉือจี้ จะเห็นได้ว่าเครือข่ายของฉือจี้มีการสร้างสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงผู้คนอย่างกว้างขวาง โดยผ่านปฏิสัมพันธ์หลายแบบ อาทิ ความสัมพันธ์แบบบุคคลต่อบุคคล ความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรม ความสัมพันธ์ผ่านสื่อ นอกจากนั้นยังเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงสถาบันทางสังคมที่หลากหลาย ได้แก่ ๑)วัดหรือสมณาราม ซึ่งเป็นแกนกลางของเครือข่าย ๒)ครอบครัว ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านอาสาสมัครที่ไปรับเงินบริจาค ๓)ชุมชน ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านอาสาสมัครที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ๔)โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของเครือข่าย ๕)สื่อมวลชน อาทิ สถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างแกนในของฉือจี้(คณะภิกษุณี)กับอาสาสมัคร สมาชิก และประชาชนทั่วไป สถาบันเหล่านี้มีทั้งสถาบันแบบดั้งเดิม และสถาบันอย่างใหม่ ซึ่งมี ทุนทางสังคมอยู่มาก สามารถที่จะเป็นกลไกในการขับเคลื่อน กระตุ้น และประสานผู้คนให้มาลงแรงทำความดีร่วมกันได้อย่างพร้อมเพรียงและมีพลัง ๒.การสร้างสายสัมพันธ์ในระดับย่อย ก.ความสัมพันธ์ระหว่างภิกษุณีกับอาสาสมัคร
ข.ความสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครกับพี่เลี้ยง ค.ความสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครด้วยกันตามศูนย์ต่าง
ๆ ง.ความสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครด้วยกันในหน่วยงานประจำ ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาสาสมัครกับสมาชิกหรือผู้บริจาค
ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว ที่จริงฉือจี้ยังนำความสัมพันธ์ทำนองนี้ไปใช้ในสถาบันการศึกษาของตนด้วย
เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนนักศึกษากับพ่อ/แม่อุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/แม่อุปถัมภ์ด้วยกัน
พ่อ/แม่อุปถัมภ์เหล่านี้ความจริงก็คืออาสาสมัครของฉือจี้ที่ไปช่วยงานในสถาบันการศึกษานั่นเอง
ประเด็นนี้จะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป ๔.มีงานหลากหลายที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้
๔.การหล่อเลี้ยงและเพิ่มพูนความดี
ในที่นี้จะกล่าวรวม ๆ ทั้งกระบวนการสำหรับผู้ใหญ่และนักเรียนนักศึกษา ๑.การเสริมสร้างคุณธรรมด้วยการทำงาน งานแยกขยะเป็นงานหนึ่งที่นำเด็กและคนแก่ (บางคนอายุ ๙๐ ปี) มาทำงานร่วมกัน และเป็นโอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้จากคนแก่ทั้งในแง่แบบอย่างแห่งความเสียสละและคติธรรมในการดำเนินชีวิต คนแก่บางคนมีฐานะดี ชีวิตสะดวกสบาย แต่ก็ยังมาช่วยเก็บขยะตามชุมชนแล้วลงมือแยกร่วมกับเพื่อนอาสาสมัครที่อ่อนวัยกว่า ทำให้เด็กได้มาเรียนรู้ถึงชีวิตแห่งการบริการสังคมด้วยตนเอง โรงงานแยกขยะจึงเป็นสถานศึกษาที่สำคัญอย่างมากของชาวฉือจี้ คนแก่หลายคนกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเองอีกครั้งหนึ่งจากงานแยกขยะ ขณะที่คนรวยหรือคนเก่งหลายคนกลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น ไม่รังเกียจหรือดูแคลนงานแบบนี้ว่าต่ำต้อย คุณธรรมด้านนี้เป็นสิ่งที่ฉือจี้เน้นมาก และอาศัยงานเป็นตัวหล่อหลอม นอกจากงานแยกขยะแล้ว งานทำความสะอาด เช่น กวาดขยะ ล้างห้องน้ำ ก็เป็นงานที่ชาวฉือจี้ทุกคนต้องผ่าน และหลายคนรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้ทำ จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้จัดการบริษัท วิศวกร แพทย์ นักธุรกิจ จับไม้กวาดช่วยงานที่โรงพยาบาล ขนขยะ ริดกิ่งไม้ หรือแบกของ ในโรงเรียนของฉือจี้ นักเรียนทุกคนมีงานประจำ ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน (และทำในเวลาเรียนด้วย) ได้แก่การทำความสะอาดโรงเรียน โรงเรียนของฉือจี้จึงไม่มีภารโรง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่แต่นักเรียนเท่านั้น ครูก็ลงมาทำด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการส่ง สารให้เด็กรู้ว่างานเหล่านี้ไม่ใช่งานต่ำต้อย สำหรับการทำความสะอาดห้องน้ำ หน้าที่นี้ผู้ที่ได้รับเกียรติคือนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุด จะมองว่าเป็นการให้เกียรติเด็กเรียนดีก็ได้ หรือว่าเป็นการฝึกลดละอัตตาของเด็กที่เรียนเก่งก็ได้ เพราะลึก ๆ เด็กเรียนดีมักจะเกิดมานะหรือความถือตัวว่าเหนือกว่าคนอื่น นอกจากการทำความสะอาดโรงเรียนแล้ว ยังมีงานกวาดถนนในเมือง แยกขยะ เยี่ยมเยียนผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และบ่มเพาะคุณธรรมให้แก่นักเรียนได้เป็นอย่างดี งานบอกบุญเป็นอีกงานหนึ่งที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของชาวฉือจี้ได้มาก โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตน นอกจากการบอกบุญหาผู้บริจาคประจำแล้ว ยังมีการบอกบุญถือกล่องบริจาคเพื่อช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ อาสาสมัครฉือจี้ไม่ว่ามีอาชีพหรือสถานะอะไร ถือว่าการรับเงินบริจาคเป็นหน้าที่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำความดี ดังนั้นบางครั้งจะเห็นผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้านยืนถือกล่องบริจาคตามสถานที่สาธารณะ และทุกครั้งที่ได้รับเงินบริจาคก็จะแสดงความขอบคุณและเคารพผู้บริจาค แม้จะเป็นเด็กหรือคนยากจนก็ตาม ดังได้กล่าวแล้วว่าในการรับบริจาคดังกล่าวฉือจี้จะไม่เน้นจำนวนเงิน แต่มุ่งผลทางจิตใจเป็นสำคัญ ซึ่งไม่ใช่แค่จิตใจของผู้ให้เงินเท่านั้น แต่รวมถึงจิตใจของผู้รับเงินด้วย นี้คือเหตุผลว่าทำไมฉือจี้ถึงสนับสนุนให้อาสาสมัครที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยสละเวลาจากการทำงาน มายืนถือกล่องบริจาค ทั้ง ๆ ที่เงินที่เขาหามาได้เพียงชั่วโมงเดียวแล้วนำมาบริจาคให้ฉือจี้อาจมีจำนวนมากเป็นหลายเท่าตัวของเงินที่ผู้คนหยอดใส่กล่องทั้งวันด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีงานช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากโดยตรง เช่น สงเคราะห์คนชราอนาถา ช่วยเหลือหรือผู้ประสบภัยพิบัติ งานดังกล่าวช่วยให้นักเรียนและอาสาสมัครของฉือจี้เกิดความซาบซึ้งในการทำความดี การได้เห็นผู้ทุกข์ยากยิ้มแย้มเมื่อได้รับความช่วยเหลือ ย่อมทำให้อาสาสมัครเกิดปีติและความสุข หล่อเลี้ยง เมตตากรุณาและความใฝ่ดีให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น ประสบการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้ผู้คนตระหนักว่ายังมีความสุขที่เหนือกว่าการเสพวัตถุ เป็นสุขที่เกิดจากการทำความดี ซึ่งสนับสนุนให้อยากทำความดีมากขึ้น ๒.การเสริมสร้างคุณธรรมโดยอาศัยกัลยาณมิตรและกระบวนการกลุ่ม กลุ่มเหล่านี้นอกจากมีการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะแล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน เมื่อเห็นแบบอย่างแห่งความดีก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี บางคนที่มีความทุกข์ เมื่อได้รับรู้ว่ามีคนอื่นอีกมากมายที่ลำบากกว่าตน ก็ทำให้เกิดกำลังใจที่จะอยู่สู้ความลำบากต่อไป การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเป็นกลุ่มที่ชาวฉือจี้ให้ความสนใจมาก ก็คือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างอาสาสมัครกับธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนทุกเช้า โดยมีระบบประชุมทางไกล เชื่อมโยงกับอาสาสมัครทั่วโลก และมีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ความประทับใจ แรงบันดาลใจ ตลอดจนสุขทุกข์ ของอาสาสมัครและผู้คนที่เขาทำงานด้วย ถูกนำมาแลกเปลี่ยน อภิปราย และรับรู้อย่างกว้างขวาง กิจกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างกลุ่มกัลยาณมิตรอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแม้ไม่ใช่เป็นกลุ่มประจำ แต่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยความจริงใจก็สามารถเป็นกำลังใจให้ผู้คนอยากทำความดีได้ไม่น้อย การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เหล่านี้ มองในแง่หนึ่งก็คือการเรียนรู้จากความดีของกันและกัน หรืออาศัยความดีของคนอื่นมาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงคุณธรรมในใจตน ตรงนี้เป็นความสำคัญของกระบวนการกลุ่ม หรือการทำความดีเป็นกลุ่ม เพราะหากต่างคนต่างทำความดี โดยไม่มาเกี่ยวข้องกัน นอกจากจะไม่มีพลังแล้ว ความดีของแต่ละคนก็อาจขาดสิ่งจรรโลงใจได้ สายสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตรเป็นสิ่งที่ฉือจี้นำไปใช้ในสถานศึกษาด้วย กล่าวคือนักเรียนนักศึกษาทุกคนตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงระดับอุดมศึกษา จะมีพ่อ/แม่อุปถัมภ์ ซึ่งคัดเลือกจากอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว พ่อ/แม่อุปถัมภ์จะทำงานเป็นกลุ่ม เช่น ในวิทยาลัยเทคโนโลยีของฉือจี้ พ่ออุปถัมภ์ ๒ คน กับแม่อุปถัมภ์ ๓ คน จะร่วมกันรับผิดชอบนักศึกษาหรือลูกอุปถัมภ์ครึ่งห้อง (ประมาณ ๑๕คน) พ่อ/แม่อุปถัมภ์มีหน้าที่แนะนำและให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านการเรียนและชีวิตส่วนตัวแก่นักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในความดูแลของตน มีการติดต่อไต่ถามข่าวคราวและพบปะเป็นประจำ งานสำคัญอีกงานหนึ่งคือ จัดกิจกรรมเสริมคุณธรรมให้แก่ลูกอุปถัมภ์ของตน เช่น เล่านิทาน แสดงละคร ฉายหนัง หรือทำกิจกรรมจัดดอกไม้ จากนั้นก็มาสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน บางครั้งก็พาลูกอุปถัมภ์ไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ ในสถานศึกษาของฉือจี้ จะจัดพื้นที่และเวลาให้แก่พ่อ/แม่อุปถัมภ์ผลัดกันมาพบปะนักเรียนหรือช่วยกิจกรรมของสถานศึกษา ที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ ครูและอาจารย์ก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรของนักเรียนและนักศึกษาด้วย นอกจากการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนแล้ว ครูและอาจารย์ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักเรียนและนักศึกษาด้วย ไม่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น (โดยเฉพาะครูประจำชั้นจะขยับตามนักเรียนเมื่อเลื่อนชั้น เช่น ตั้งแต่มัธยม ๔ไปจนถึงมัธยม ๖) แต่ยังคลุมถึงนอกห้องเรียนด้วย เช่นมีการทำความสะอาดโรงเรียนร่วมกัน แต่เท่านั้นยังไม่พอ ในสถานศึกษาของฉือจี้ ครูและนักเรียนยังกินอาหารในห้องเดียวกัน และกินอาหารอย่างเดียวกัน ไม่ได้แยกไปกินในห้องพิเศษหรือกินอาหารที่คุณภาพต่างกัน หากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นอกเวลาเรียนก็มีการนัดกินอาหารเย็นกับนักศึกษาเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ๓.การเสริมสร้างคุณธรรมด้วยศิลปะ ศิลปะทั้ง ๓ แขนง มีการเรียนตั้งแต่ชั้นประถม ทั้งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างตามวัย กล่าวคือนักเรียนชั้นประถมจะเรียนรู้ตั้งแต่การถอดรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ ก่อนเข้าห้องชงชา และเมื่อนั่งชงชา ก็นั่งให้ตรง สง่า ขณะเดียวกันก็ไม่ยะโสโอหัง จากนั้นก็ฝึกการทำกายวาจาให้สงบ รวมทั้งวางถ้วยชาอย่างมีสติ ไม่ให้ถ้วยกระทบกัน ซึ่งอาจโยงไปถึงการระมัดระวังกายและวาจาของตนไม่ให้กระทบกับคนอื่นด้วย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมและประถม ศิลปะดังกล่าวช่วยในการฝึกจิตให้มีความละเมียดละไมมากขึ้น ละเอียดอ่อนต่อสุนทรียรส และน้อมใจให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะเมื่อจัดดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ที่ถูกจัด แต่ใจเราก็ถูกจัดไปพร้อมกัน ดอกไม้ยังเป็นสื่อในการสอนธรรมแก่นักเรียน เพราะดอกไม้แต่ละดอกมีลักษณะพิเศษ ที่สามารถสอนใจนักเรียน ส่วนการปักให้สวยก็สามารถเป็นคติธรรมในการดำเนินชีวิตได้ เช่น การเอาดอกใหญ่ ๆ ไปใส่ไว้ใต้ดอกเล็ก ๆ ก็ไม่ต่างคนที่ประสบความสำเร็จต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว และสนับสนุนผู้เยาว์มีบทบาทและความสามารถมากขึ้น นอกจากนั้นวิธีการจัด ปัก และเรียงดอกไม้ก็อาจเป็นกระจกสะท้อนให้นักเรียนรู้จักตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ในระดับมหาวิทยาลัย การจัดดอกไม้ ชงชา และเขียนพู่กันจิต สามารถนำพานักศึกษาเข้าไปสัมผัสกับมิติทางจิตวิญญาณที่ลุ่มลึกขึ้น และเข้าใจสัจธรรมของชีวิตได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้แจ่มชัด ขณะเดียวกันก็พัฒนาคุณภาพจิตฝ่ายบวกให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในการดำเนินชีวิตและในการศึกษา นอกจากศิลปะทั้งสามซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะชั้นสูงแล้ว ยังมีศิลปะอีกหลายอย่างที่นำมาใช้กล่อมเกลาจิตใจของผู้เรียน อาทิ นิทาน การแสดง ละคร และวาดภาพ นวัตกรรมอย่างหนึ่งของฉือจี้คือการมี คุณแม่นักเล่านิทาน ซึ่งเป็นอาสาสมัครที่คัดมาจากแม่อุปถัมภ์ มีหน้าที่เล่านิทานและแสดงละครตามชั้นเรียนต่าง ๆ เรื่องที่เล่าอาจเป็นเรื่องความเสียสละของคนดี หรือปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยทำให้สนุก มีการวาดภาพประกอบ รวมทั้งสอดแทรกวาทธรรมของท่านธรรมาจารย์ หลังจากนั้นก็มีการสนทนาพูดคุยกับนักเรียน อาสาสมัครประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก จนถูกเชิญไปเล่านิทานให้กับโรงเรียนอื่นทั่วประเทศ ศิลปะอีกประเภทหนึ่งที่ควรกล่าวถึงเพลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฉือจี้ กิจกรรมต่าง ๆ ของฉือจี้ จะขาดเพลงไม่ได้ แม้แต่การต้อนรับอาคันตุกะ ฉือจี้ใช้เพลงเป็นสื่อสำคัญในการกล่อมเกลาจิตใจของผู้คน เพลงของฉือจี้นอกจากมีเนื้อร้องที่งดงามส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะเมตตาธรรมแล้ว ยังมีทำนองที่ไพเราะ เพลงของฉือจี้ เวลาเปิดในที่ประชุม มักจะมีการแสดงศิลปะอีกอย่างหนึ่งประกอบด้วยเสมอไป คือ ภาษามือ ลีลาอ่อนช้อยของนิ้วและมือ เป็นสื่อสากลที่ช่วยถ่ายทอดความหมายจากเนื้อร้องให้แก่ผู้ฟังแม้ ไม่รู้ภาษาจีนเลยก็ตาม อีกทั้งยังเชื้อเชิญให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมกับผู้ร้องด้วย จึงเป็นสื่อที่สร้างสัมพันธภาพระหว่างชาวฉือจี้กับผู้อื่น รวมทั้งผู้ที่ฉือจี้เข้าไปสงเคราะห์ ได้เป็นอย่างดี ๔.การส่งเสริมคุณธรรมด้วยกิจกรรมบูรณาการ ตัวอย่างที่เด่นชัดในเรื่องนี้ยังสามารถเห็นได้จากการส่งเสริมคุณธรรมในชั้นเรียน ซึ่งมีการบูรณาการกิจกรรมหลายด้านเข้าด้วยกัน และโยงไปถึงกิจกรรมนอกห้องเรียน กล่าวคือ ในโรงเรียนประถมของฉือจี้ ครูจะนำคติธรรมหรือ วาทธรรมของท่านธรรมาจารย์ที่เลือกสรรแล้ว มาบอกเล่าและอธิบายให้นักเรียนฟัง โดยอาจมีนิทานหรือเรื่องเล่าประกอบ วันต่อมาครูจะมอบหมายให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับวาทธรรมดังกล่าวตามที่ตนเข้าใจ วันที่ ๓ นักเรียนจะนำวาทธรรมดังกล่าวมาแปลงเป็นละคร เล่นหน้าชั้น วันที่ ๔ ครูจะมอบหมายให้นักเรียนแปรวาทธรรมดังกล่าวเป็นการปฏิบัติโดยไปทำที่บ้าน วันที่ ๕ ครูจะนำนักเรียนไปบำเพ็ญสาธารณ ประโยชน์ เป็นการนำวาทธรรมดังกล่าวไปแปรเป็นภาคปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม จะเห็นได้ว่า กิจกรรมดังกล่าวสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถของนักเรียนหลายด้าน ทั้งด้านความคิด การแสดงออกด้วยถ้อยคำ การถ่ายทอดเป็นภาพหรือการแสดง และการแสดงออกด้วยพฤติกรรม มองในแง่ของกระบวนการทางปัญญา ก็เป็นการพัฒนาทั้ง สุตมยปัญญา (ปัญญาจากการฟัง) จินตมยปัญญา (ปัญญาจากการคิด) และภาวนามยปัญญา (ปัญญาจากการกระทำ) ๕.การส่งเสริมคุณธรรมโดยอาศัยสิ่งแวดล้อม ส่วนสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ จะเน้นให้เกิดสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ทางเดินและระเบียงบางส่วนที่ไม่สำคัญจะปิดไฟเพื่อประหยัดพลังงาน อาคารจะโปร่งโล่งและใช้ประโยชน์จากแสงแดดให้มากที่สุด แต่ก็มีการออกแบบให้อากาศถ่ายเทเพื่อลดการใช้เครื่องปรับอากาศ นอกจากนั้นยังมีคติธรรมสอนใจติดตามผนังหรือลานนอกอาคาร แม้แต่ชื่ออาคารก็มีนัยในทางคุณธรรม ๖.การส่งเสริมคุณธรรมด้วยสื่อ รายการดังกล่าวฉือจี้ถ่ายทอดออกไปทั่วโลกผ่านดาวเทียม
ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อชาวฉือจี้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ และอาจไม่ได้มีกิจกรรมเข้มข้นอย่างในไต้หวัน ด้วยกระบวนการดังกล่าว มูลนิธิฉือจี้จึงสามารถทำงานสร้างสรรค์ได้อย่างมีพลัง รวมทั้งสามารถขยายงานและขยายคนได้อย่างต่อเนื่องพลัง ข้อสังเกตท้ายบท เมื่อพิจารณาเฉพาะบริบทของชาวพุทธ ฉือจี้ก็มีความแตกต่างอย่างมากจากองค์กรชาวพุทธทั่วไป (รวมทั้งในไต้หวัน) เพราะแทนที่จะติดอยู่กับพิธีกรรม หรือพาผู้คนหลีกเร้นบำเพ็ญภาวนา กลับเน้นที่การทำความดีอย่างเป็นรูปธรรม มิใช่ทำความดีเฉพาะตัวเท่านั้น แต่เป็นการร่วมกันบรรเทาทุกข์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นในโลก โดยแปรเมตตาและพรหมวิหารธรรมข้ออื่น ๆ ให้เป็นการปฏิบัติที่ส่งผลเป็นรูปธรรม มิใช่เอาแต่ นั่งแผ่เมตตาอยู่ในมุ้ง เท่านั้น นับว่าเป็นองค์กรพุทธแนวปฏิรูปที่ประยุกต์ธรรมมาอย่างสมสมัย ความพิเศษของฉือจี้ยังอยู่ที่ความสามารถในการจัดการความดีอย่างเป็นระบบ ชนิดที่แหวกไปจากองค์กรศาสนาทั่วไป ความสามารถดังกล่าวนอกจากอาศัยความรู้และความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังต้องอาศัยศิลปะและทักษะที่แยบคาย ฉือจี้ได้เป็นตัวอย่างให้เราได้ตระหนักว่าการจัดการความดี เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยศิลปะ ศิลปะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการจัดดอกไม้ ชงชา เขียนอักษรด้วยพู่กันเท่านั้น แต่หมายถึงศิลปะในการบ่มเพาะ น้อมนำ และผนึกความดีของผู้คนให้เกิดพลังทางจริยธรรมเพื่อขจัดความทุกข์ในโลก นี้คือจริยศิลป์ในความหมายที่สำคัญที่สุด ที่องค์กรศาสนา องค์กรทางมนุษยธรรม สถาบันศึกษา ควรพัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมกับบริบทของตนโดยศึกษาแบบอย่างจากฉือจี้ อย่างไรก็ตามผู้เขียนมี ๔ ประเด็นที่อยากตั้งเป็นข้อสังเกต
กล่าวคือ ๒. การจัดการความดีนั้น ควรช่วยให้บุคคลสามารถรู้จักคิดและมีวิจารณญาณของตัวเอง แต่จะทำเช่นนั้นได้ ความสามารถอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการรู้จักตั้งคำถามหรือวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ผู้เขียนมีเวลาน้อย แต่เท่าที่ทราบ ทักษะดังกล่าว รวมไปถึงการคิดในเชิงวิพากษ์ (critical mind) เป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่ชัดจากกระบวนการเรียนรู้ของฉือจี้ โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษา เป็นไปได้ไหมว่า เป็นเพราะแนวคิดแบบนี้ มีนัยยะของการมองเชิงลบ หรือตั้งข้อสงสัย ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของฉือจี้ที่เน้นการมองเชิงบวกและการมีศรัทธาเป็นจุดเริ่มต้น ในวัฒนธรรมของฉือจี้ นิยมชมมากกว่าตำหนิ และมองแง่ดีมากกว่าตั้งข้อสงสัย ซาบซึ้งในคุณค่ามากกว่าสอดส่ายหาข้อเสียตรงนี้เป็นจุดแข็งของฉือจี้ที่ทำให้ขยายตัวได้รวดเร็ว สามารถดึงผู้คนได้มากมาย แต่ก็เป็นจุดอ่อนได้ในเวลาเดียวกัน ๓. การรู้จักคิดด้วยตัวเอง ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมักหมายถึงการแหวกแนวจากขนบเดิม และนำไปสู่การเป็นตัวของตัวเอง หากข้อสังเกตของผู้เขียนถูกต้อง กล่าวคือ ฉือจี้ไม่สู้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการคิดด้วยตนเอง คำถามคือชาวฉือจี้จะสามารถเป็นตัวของตัวเอง หรือคิดแหวกแนวจากกรอบของฉือจี้ได้มากน้อยแค่ไหน เครือข่ายที่สร้างสายสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและกว้างขวาง จะเปิดโอกาสหรือเป็นอุปสรรคมากน้อยเพียงใดสำหรับชาวฉือจี้ในการพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง โดยทั่วไปแล้วองค์กรและขบวนการแบบนี้มักจะยอมรับความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นตัวของตัวเองในระดับหนึ่ง แต่หากเลยจุดนั้นไปก็อาจถูกแรงกดดันจากหมู่คณะหรือเครือข่าย ปัญหาก็คือถ้าองค์กรใดองค์กรหนึ่งคิดเหมือนกันหมด โดยขาดความหลากหลาย หรือไม่มีพื้นที่ให้แก่คนที่คิดต่าง องค์กรนั้นก็ยากจะปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดังในปัจจุบัน (ขอให้นึกถึงคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน เป็นตัวอย่าง ) ๔.ชาวฉือจี้มักจะมองความดีที่แสดงออกในระดับบุคคลหรือกลุ่มคน แต่ดูเหมือนจะไม่สนใจจริยธรรมในระดับโครงสร้าง โครงสร้างหรือระบบสังคมนั้นไม่ได้เป็นกลางโดยตัวมันเอง แต่มีคุณค่าหรือความดีความชั่วแฝงอยู่เสมอ ระบบนาซีนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะนอกจากจะบั่นทอนความเป็นมนุษย์ ยังสามารถผลักดันให้คนทำความเลวร้ายอย่างที่นึกไม่ถึง ระบบที่รวมศูนย์และไม่โปร่งใส มักจะทำให้ผู้นำทั้งบนสุดและลดหลั่นลงมาถืออำนาจบาตรใหญ่และทุจริตได้ง่าย เช่นเดียวกับระบบทุนนิยมก็มักจะทำให้คนเห็นเงินและกำไรสำคัญกว่าอะไรอื่น กิจกรรมของฉือจี้ จะมุ่งทำความดีทุกอย่าง เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่จะไม่แตะต้องหรือคิดเปลี่ยนแปลงระบบและโครงสร้างที่ก่อความทุกข์แก่มนุษย์เลย ฉือจี้พร้อมจะช่วยคนยากจน แต่จะไม่ทำอะไรกับระบบเศรษฐกิจที่ทำให้คนยากจน อาจเป็นเพราะการขาดทัศนะในเชิงวิพากษ์ หรืออาจเป็นเพราะการพยายามมองแง่บวกเป็นหลัก จึงเห็นข้อดีมากมายของระบบและโครงสร้างเหล่านั้น และพยายามใช้ข้อดีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์มากที่สุด ( มองในแง่บวก ระบบทุนนิยมก็มีข้อดีตรงที่ทำให้ไต้หวันมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ชาวฉือจี้จำนวนไม่น้อยมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง ส่งผลให้ฉือจี้มีทุนสนับสนุนอย่างมหาศาล กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบทุนนิยมทำให้ฉือจี้มีกำลังทางเศรษฐกิจที่สามารถช่วยคนทุกข์ยากได้อย่างมากมาย) ผู้นำฉือจี้อาจมองว่า แทนที่จะเสียพลังงานไปกับการเปลี่ยนแปลงระบบหรือกำจัดข้อเสียในตัวระบบ การพยายามใช้ข้อดีจากระบบเหล่านั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์สร้างสรรค์ น่าจะทำได้ง่ายกว่าและก่อให้เกิดผลดีที่เป็นมรรคเป็นผลมากกว่าก็ได้ ด้วยเหตุนี้วินัยข้อหนึ่งของชาวฉือจี้คือ การไม่เข้าร่วมการประท้วงทางการเมือง วินัยข้อนี้มีส่วนไม่น้อยในการทำให้ฉือจี้ขยายตัวจนมีสมาชิกหลายล้านคน เพราะไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด นิยมพรรคไหนก็ตาม ก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกได้อย่างไม่กระอักกระอ่วนใจ การ เป็นกลางทางการเมืองช่วยลดความแตกแยกภายในองค์กร ขณะเดียวกันก็ทำให้อำนาจการเมืองไม่มารบกวนหรือแทรกแซงฉือจี้ด้วย ตรงกันข้ามไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็สะดวกใจที่จะสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือกับฉือจี้ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าฉือจี้จะประนีประนอมกับระบบเสียทีเดียว เพราะผู้นำฉือจื้เองก็เห็นโทษของระบบทุนนิยมอยู่ไม่มากก็น้อย จึงกำหนดวินัยอีกข้อหนึ่งคือ ไม่เล่นการพนันและการเก็งกำไร ๒ ซึ่งรวมถึงการเล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไร (แต่อนุญาตการเล่นหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว) ผิดกับองค์กรศาสนาทรงอิทธิพลส่วนใหญ่ที่ไม่ปฏิเสธการเล่นหุ้นเก็งกำไร ทั้ง ๔ ประเด็นเป็นข้อสังเกตที่อาจผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตามแม้จะถูกต้องก็ไม่ได้ลดทอนความสำคัญของฉือจี้ในฐานะองค์กรที่มีศาสตร์และศิลป์ในการจัดการความดี ที่มีเอกลักษณ์และน่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับองค์กรที่เห็นความสำคัญของการทำความดีเพื่อเพื่อนมนุษย์ อันที่จริงฉือจี้ยังเป็นแบบอย่างที่น่าเรียนรู้ในอีกหลายด้าน เช่น การแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ การศึกษาตามแนววิถีพุทธ และสื่อทางเลือกเพื่อสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประเด็นเหล่านี้มีผู้ศึกษาบ้างแล้วและได้เผยแพร่ในหลายที่ เชื่อว่าจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่คนไทยไม่น้อย ที่ผ่านมาเรามองหาแบบอย่างจากตะวันตกมามากแล้ว ถึงเวลาที่เราจะมองไปที่ตะวันออก โดยเฉพาะในประเทศที่มีวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาไม่ต่างจากของบ้านเรามากนัก ๑
แนวคิดและข้อมูลในบทความนี้ ผู้เขียนได้มาจากการเยี่ยมดูงานของมูลนิธิฉือจี้
จัดโดยศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ระหว่างวันที่
๓๐ พฤษภาคม-๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ แหล่งข้อมูลที่สำคัญยังได้แก่หนังสือเรื่อง คุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของประเทศไต้หวัน
(เขียนโดย พระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า) จิตอาสา พลังสร้างโลก (เขียนโดยนพ.อำพล
จินดาวัฒนะ) ขยะสร้างคน คนสร้างชาติ (เขียนโดยเยาวลักษณ์ ทองชัยภูมิ และสมสกุล
บุญกำพร้า และเอกสารของคณะนักวิจัยซึ่งมีพระเดิมแท้เป็นหัวหน้า ทั้งหมดนี้พิมพ์โดยศูนย์คุณธรรม
นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้ประโยชน์อีกมากจากการสนทนากับพระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า
และมัคคุเทศก์ผู้มีน้ำใจ ได้แก่ คุณสุชาย แซ่เฮง คุณชิว สู เฟิน และ คุณส้ม
ซึ่งทำให้ได้รับทราบข้อมูลที่นอกเหนือจากการดูงานตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลและตัวเลขที่ได้รับบางครั้งก็ไม่ตรงกัน
หาไม่ก็เป็นความเข้าใจผิดของผู้เขียน หากมีข้อผิดพลาดประการใดในบทความนี้
ผู้เขียนขออภัย และจะขอบคุณมากหากท่านผู้รู้กรุณาท้วงติงหรือให้ความเห็น
เพื่อผู้เขียนจะนำไปปรับปรุงบทความนี้ให้ดีขึ้น |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|