กรุงเทพธุรกิจ
ธันวาคม ๒๕๔๙ พระไพศาล วิสาโล |
|
สุขหรือทุกข์ของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยสองส่วน คือปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ในบรรรดาปัจจัยสองส่วนนี้ ปัจจัยภายในคือตัวเรามีความสำคัญที่สุด บางครั้งปัจจัยภายนอกไม่มีอะไรน่ากลัวหรืออันตรายเลย แต่เหตุใดเราถึงเป็นทุกข์ ละอองเกสรนั้นไม่มีพิษมีภัย แต่หลายคนกลับมีอาการแพ้อย่างแรง บางคนแพ้อาหารทะเล กินแล้วเป็นต้องเกิดผดผื่นคัน ละอองเกสรหรืออาหารทะเลนั้นไม่ได้เป็นปัญหามากเท่ากับปฏิกิริยาบ้าคลั่งจากบางส่วนในร่างกายของเรา คนเราล้มป่วยได้ไม่ได้เพราะเชื้อโรคอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอ่อนแอด้วย จึงปล่อยให้เชื้อโรคลุกลามและอาละวาดได้ ขณะที่บางคนมีเชื้ออย่างเดียวกันอยู่ในร่างกาย แต่ไม่เป็นอะไรเลย เนื่องจากภูมิคุ้มกันสามารถควบคุมมันไม่ให้ขยายตัวได้ คนที่ตายเพราะโรคซารส์หรือไข้หวัดนก ปอดของเขาถูกทำลายยับเยินไม่ใช่เพราะพิษจากเชื้อไวรัสที่แปลกปลอม แต่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายของเขาเองที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ โดยปล่อยสารเคมีออกมาซึ่งทำให้ปอดอักเสบอย่างรุนแรง นอกจากเนื้อเยื่อที่ดีจะตายแล้ว หลอดเลือดในปอดยังรั่ว ทำให้เลือดและของเหลวท่วมปอด จนถึงแก่ความตายได้ พูดง่าย ๆ ก็คือภูมิคุ้มกันเหล่านี้ โอเวอร์รีแอคท์ จนกลายเป็นอันตรายต่อร่างกายของตัวเอง ความทุกข์ทางใจก็เช่นเดียวกัน ปัจจัยภายนอกไม่สำคัญเท่ากับปัจจัยภายใน คือการวางจิตวางใจของเราเอง อยู่ในบ้านคนเดียว แม้ไม่มีใครมาก่อกวนรังควานเลย แต่ใจกลับผวาจนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา หาไม่ก็ฟุ้งซ่านกระสับกระส่ายเพราะคุมความคิดไม่อยู่ คนจำนวนไม่น้อยแม้จะอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้อง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่กลับเป็นทุกข์เพราะรู้สึกอ้างว้าง การสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า เยาวชนในกรุงเทพ ฯ ใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือวันละสามชั่วโมงโดยเฉลี่ย เหตุผลหลักคือ เหงา เวลาเป็นทุกข์เพราะถูกตำหนิ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เรามักโทษคนที่พูดเช่นนั้นกับเรา แต่เราลืมนึกไปว่าลมปากของเขานั้นสลายไปกับอากาศธาตุนานแล้ว เหตุใดคำพูดของเขาจึงยังดังก้องอยู่ในหัวของเราครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังชัดเจนเหมือนกับเปิดเทปกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำอีก ใครกันที่จดจำคำพูดของเขาจนประทับแน่นในใจ ซ้ำยังเอามาทวนย้ำซ้ำเติมตัวเองไม่หยุดหย่อน แม้เขาอาจพูดด้วยวาจาสุภาพ ด้วยความปรารถนาดี แต่เหตุใดมันจึงกลายเป็นเสมือนค้อนทุบใจเรา เป็นเพราะเขาหรือเรากันแน่ ที่จริงไม่ใช่ใจเราดอกที่รู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบเมื่อได้ฟังถ้อยคำดังกล่าว แต่เป็นกิเลสหรืออัตตาต่างหากที่เจ็บปวด ความหลงตัวพองตนว่า กูแน่กลับมีอาการฝ่อบุบบี้ไปทันทีเมื่อถูกคนตำหนิ วิจารณ์ หรือเพียงแต่ไม่ชื่นชมอย่างที่เราหวังเท่านั้น แต่เมื่อกิเลสหรืออัตตาเจ็บปวดทุรนทุราย ควรหรือที่เราจะไปเจ็บปวดกับมันด้วย หรือเหมาเอาความเจ็บปวดของมันมาเป็นของเราแทน ที่จริงควรยินดีด้วยซ้ำที่เห็นมันถูกทรมาน มันจะได้เลิกพองตนเสียที จะได้ไม่มีเรี่ยวแรงมาขี่คอข่มขู่เราอย่างที่แล้วมา บางคนฉลาดที่จะมองเห็นประโยชน์จากคำตำหนิ อย่างน้อยก็ทำให้เห็นจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข ช่วยให้ผลงานออกมาดีขึ้น ด้วยเหตุนี้คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อสร้างเมืองโบราณ จึงกล่าวว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล คำตำหนิไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้เลย กลับเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ หากเรารู้จักมอง เมื่อรู้ข่าวว่าเป็นโรคร้าย ทั้ง ๆ ที่ก้อนมะเร็งยังไม่ได้ก่อกวนร่างกายเลย
เพราะยังเล็กกระจิริดอยู่ แต่หลายคนกลับทรุดลงทันที ไม่มีเรี่ยวแรง กินไม่ได้
นอนไม่หลับ เซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา อะไรทำให้เขาเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะก้อนมะเร็งกระนั้นหรือ
หรือว่าเป็นเพราะใจของเขาที่นึกไปถึงวันตายข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่อีกไกล
หลายคนประสบเหตุร้ายจนพิการ แต่เมื่อปรับตัวได้ คนพิการเหล่านี้กลับมีความสุขมากกว่าหลายคนที่มีอาการครบ ๓๒ บางคนสามารถสร้างสรรค์ผลงานชั้นเลิศทั้ง ๆ ที่ทุพพลภาพตั้งแต่คอลงมา แม้มือใช้การไม่ได้ แต่ก็ยังมีปากงับพู่กันวาดภาพแต่ละชิ้นราคานับแสน จนสามารถเลี้ยงพ่อแม่และน้อง ๆ ได้ทั้งบ้าน บางคนกลายเป็นอาจารย์กรรมฐาน หลังจากประจักษ์แจ้งในความจริงที่ว่า กายต่างหากที่พิการ แต่ใจไม่ได้พิการด้วย เมื่อใจลาออกจากความพิการ จิตก็สดใสแจ่มกระจ่าง ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไร เงินฝืดเคือง สูญเสียทรัพย์สิน งานการไม่ก้าวหน้า ตำแหน่งติดตัน คนรักตีจาก เพื่อนพ้องพลัดพราก หรือแม้เคราะห์กรรมจะมากระทบกับร่างกาย จนสุขภาพเสื่อมทรุด ร่างกายไม่สมประกอบ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้หากใจยังมีสติมั่นคง ไม่จมปลักอยู่กับอดีตที่หวานชื่น หรือหมกมุ่นกับอนาคตที่หม่นมอง อีกทั้งไม่เผลอใจไปยึดเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของใจ มีปัญญาที่รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ และจากทุกอย่างที่ยังมีอยู่กับตัว ตระหนักว่าทุกอย่างที่เกิดกับเรานั้นดีเสมอ อย่างน้อย ๆ ก็ดีที่มันยังไม่เลวมากไปกว่านี้ ปีใหม่นี้ใคร ๆ ก็ปรารถนาจะเห็นโชคลาภ
ความสำเร็จ ชื่อเสียงเกียรติยศพร้อมพรั่งบริบูรณ์รออยู่เบื้องหน้า แต่จะดีกว่าหากมองเข้ามาที่ใจของเราด้วยความหวังว่าธรรมทั้งหลาย
มี สติ ปัญญา สมาธิ เป็นต้นจักเจริญงอกงามเพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองใจ โดยไม่หวั่นกลัวเคราะห์ภัยใด
ๆ เพราะมั่นใจว่าธรรมเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้
แต่หวังเท่านั้นย่อมไม่พอ ต้องลงมือบำรุงเลี้ยงธรรมดังกล่าวด้วย โดยควรถือเอาศักราชใหม่เป็นนิมิตหมายสำหรับการสร้างคุณภาพใหม่ให้แก่จิตใจเพื่อชีวิตใหม่ที่เปี่ยมสุข |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|