การช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ พระไพศาล วิสาโล
แบ่งปันบน facebook Share
|
|
กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาลที่เคารพ ทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ (Sp1-Sp5) นอกจากจะสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว ยังสามารถนำมาใช้กับคนทั่วไปรวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเราด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ “การรักษาใจตนเป็นการรักษาใจผู้อื่น และการรักษาใจผู้อื่นเป็นการรักษาใจตนด้วย” 3 วันของการฝึกอบรม “สร้างพลังเมตตาเพื่อเยียวยาอย่างเป็นองค์รวม” ที่ศูนย์มะเร็งโรงพยาบาลมหาราชฯจัดให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเครือข่ายโรงพยาบาลชุมชนต่างๆมาเข้ารับการอบรม มด เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จบใหม่ เพิ่งเข้าทำงานในโรงพยาบาลชุมชนได้ไม่ถึงปี เธอดูโดดเด่น เพราะมดเป็นผู้เข้ารับการอบรมคนเดียวที่นั่งเก้าอี้ล้อเลื่อน (Wheel Chair) มาเรียน สอบถามได้ความว่า มดได้รับอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลังตั้งแต่เล็กๆ แต่ก็สามารถดำเนินชีวิตมาได้ ไม่ต่างจากคนอื่น ทราบภายหลังว่า มดเป็นคนเรียนเก่งมาก ได้รับการคัดเลือกให้เข้าค่ายโอลิมปิกตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม สอบเอนทรานซ์ติดแพทย์ แต่กรรมการสัมภาษณ์ไม่ให้ผ่าน เธอจึงเลือกเส้นทางใหม่เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จบด้วยคะแนนเกียรตินิยมเหรียญทอง วันที่ 3 ของการอบรม มดเข้ามาหาหมอตุ๊ด้วยน้ำตานองหน้า มด อาจารย์ขา มดจะปล่อยวางความคิดถึงแม่ได้อย่างไรคะ... แม่มดเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนเสียใหม่ๆ มดก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก เพราะเห็นว่ามดทำหน้าที่ลูกได้เต็มที่แล้ว แต่นับวัน นับเดือนล่วงไป ทำไมมดจึงคิดถึง และ โหยหาแม่มากขึ้นเรื่อยๆ...(สะอื้น) หมอต ที่ผ่านมา แม่ดูแลมดอย่างไรคะ มด ตั้งแต่เล็ก แม่เป็นทุกอย่างของมดค่ะ แม่เป็นแรงบันดาลใจ และเป้าหมายในชีวิตของมด มดพยายามทำทุกอย่างเพื่อแม่...ตอนนี้ ไม่มีแม่แล้ว มดจะอยู่ไปเพื่อใคร มดไม่ต้องการมีเงิน หรือความสำเร็จในหน้าที่การงานใดๆ...ตอนนี้มดอยู่เหมือนคนไม่มีเป้าหมายในชีวิต...ใครๆเขาว่า เวลาที่ผ่านไปจะเป็นยารักษาใจ แต่ทำไมสำหรับมดแล้ว ยิ่งนับวัน มดยิ่งคิดถึงแม่มากขึ้นทุกที หมอตุ๊ ก่อนแม่เสียชีวิต มดเคยจากแม่ไปไหนนานๆไหมคะ มด ก็ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ มดต้องไปเรียนกรุงเทพฯ แม่อยู่ต่างจังหวัด แต่ถึงอย่างไรมดยังได้โทรศัพท์ถึงแม่ทุกวัน หมอตุ๊ ขณะนี้ใจมดยึดติดอยู่กับแม่ มดเห็นว่าพลังใจทั้งหมดของหนูอยู่ที่แม่เท่านั้น แต่ป้าตุ๊ว่าลึกๆแล้ว ในใจของหนูยังมีพลังที่หนูเคยใช้มันมาก่อน..ดูซิ มดพิการแต่เล็ก แต่มดก็ยังสามารถก้าวข้ามสิ่งนั้นและเรียนหนังสือจนประสบความสำเร็จในชีวิตมาได้...ลองค้นหาซิว่าพลังใจ พลังในการพึ่งตนเองของมดอยู่ที่ไหน มด อยู่ที่แม่ไงล่ะคะ...ตอนนี้ไม่มีแม่...พลังมดหมดแล้ว....หมดแล้ว.... จากนั้น หมอตุ๊ได้สอบถามสภาพความเป็นอยู่ของมดขณะนี้ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักศึกษา หมอตุ๊ได้ช่วยให้มดใคร่ครวญ เหตุแห่งความทุกข์ พอจะสรุปได้ว่าเกิดจาก
ส่วนหนทางดับทุกข์ก็คือ การทำจิต และทำกิจ ทำจิต คือฝึกวางใจให้อยู่อย่างเป็นสุขในปัจจุบัน ยอมรับความจริงของชีวิต ด้วยการอ่านหนังสือ ทำกิจ คือ การสร้างสังคมกับเพื่อนในที่ทำงานใหม่ การตั้งเป้าหมายใหม่ๆในชีวิต เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ (ตามทักษะที่ได้เรียนไป) วันละ 1 คน ฯลฯ กราบนมัสการพระอาจารย์ อีกครั้ง ค่ะ จดหมายฉบับนี้ เหมือนรายงานส่งครู ค่อนข้างยาว เพราะกำลังอินกับธรรมะ(จากพระอาจารย์)ที่นำไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้คนอื่น หมอตุ๊มีคำถามเรียนถามพระอาจารย์ดังนี้ค่ะ
ด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูง |
|
เจริญพร คุณหมอตุ๊ อาตมาคิดว่า มองในแง่ของชาวพุทธ เราทุกคนควรมีเป้าหมายของชีวิต ด้วยเหตุนี้ คำถามที่ว่า "เกิดมาทำไม" "อยู่เพื่ออะไร" จึงมีความสำคัญสำหรับชาวพุทธ พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ ก็ทรงมีเป้าหมายในชีวิตอย่างแจ่มชัด นั่นคือ ทรงแสวงหาทางดับทุกข์ เป็นเหตุให้ทรงออกจากวัง มาบำเพ็ญพรตอย่างนักบวช การมีเป้าหมายของชีวิตช่วยให้ดำเนินชีวิตอย่างมีทิศทาง หาไม่ก็จะไม่ต่างจากจอกแหนในแม่น้ำ คือแล้วแต่เหตุปัจจัยภายนอกและอารมณ์จะพาไป การมีเป้าหมายของชีวิตนั้นไม่จำเป็นต้องทำไปด้วยความยึดติดถือมั่น(หรืออุปาทาน) แต่ก็มีหลายคนที่ยึดติดถือมั่นในเป้าหมายของชีวิต ที่ว่าความยึดติดถือมั่นนั้น ในพุทธศาสนาหมายถึงความยึดติดว่าเป็นตัวตน คือทำไปด้วยกิเลสหรือทิฐิมานะ เพื่อสนองตัวตน เช่น เพื่อเสริมสร้างความยิ่งใหญ่ของตัวตน รวมทั้งเห็นว่าเป้าหมายของชีวิตที่ตนยึดถือนั้นถูกต้อง เป็นเลิศ ใครที่มีเป้าหมายต่างจากตน เป็นคนโง่ ไม่ถูกต้อง ใครที่ขัดขวาง เป้าหมายของตน เป็นคนเลว ชั่วร้าย ต้องถูกจัดการ หรือถ้าตนเองไม่อาจบรรลุเป้าหมาย ก็โกรธแค้น เศร้าเสียใจจนอยากฆ่าตัวตาย รวมทั้งยึดมั่นว่าเที่ยงแท้แปรเปลี่ยนไม่ได้ จึงยึดเอาไว้อย่างงมงาย โดยไม่คิดที่จะไตร่ตรองตรวจสอบว่าดีแล้วหรือยัง รวมทั้ง ไม่คิดแก้ไขเพราะไม่ยอมรับว่ามันผิดพลาด เป็นต้น สำหรับข้อที่ ๒ นั้น อาตมาคิดว่า เป็นเพราะ ๑) เวลาหนึ่งปียังน้อยไปสำหรับกรณีของมด ๒) มดคอย "ต่ออายุ" ให้แก่ความเศร้าของตนอยู่ตลอดเวลา มันจึงไม่จางหาย ตามธรรมดาแล้ว อารมณ์ทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปในเวลาไม่นาน เหมือนเปลวไฟ แต่ที่มันคงอยู่ เพราะเราไป"เติมเชื้อ" ให้มัน ด้วยการครุ่นคิดถึงมัน เช่น โกรธใครสักคน ก็เฝ้านึกถึงคนนั้น เลยไม่หายโกรธเสียที ความเศร้าเสียใจและอาลัยคิดถึงก็เช่นกัน คงเพราะมีสิ่งกระตุ้นให้มดคิดถึงแม่เสมอ เธอจึงยังอาลัยถึงแม่ไม่หยุดหย่อน อาจเป็นเพราะแม่เป็นคนเดียวที่สำคัญในชีวิตเธอ ไม่มีคนอื่นที่จะช่วยดึงความสนใจของเธอ หรือเป็นที่ ๆ เธอจะฝากใจไว้แทน การที่คุณหมอชวนเธอไปทำอะไรดี ๆ เพื่อคนอื่นนั้น เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ แต่ต้องใช้เวลา เพราะชีวิตของเธอผูกพันกับแม่มาก พูดได้ว่า เธอสู้ชีวิตเพราะแม่หรือเพื่อแม่คนเดียว อย่างไรก็ตามแม้แม่จะไม่อยู่กับเธอแล้ว เธอก็ยังสามารถระลึกถึงแม่ในแง่บวกได้ นั่นคือ เอาแม่เป็นแรงบันดาลใจในการสู้ชีวิตต่อไป เพราะที่จริงแล้วทั้งหมดที่แม่ทุ่มเทให้แก่มด ก็เพราะอยากเห็นมดพึ่งตัวเองได้ รวมทั้งเป็นหมอที่ดี โดยไม่มีอุปสรรคจากความพิการ มดควรคิดว่า เธอยังควรสู้ต่อไปเพื่อแม่ คือเพื่อให้ความปรารถนาของแม่เป็นจริงได้ในที่สุด ซึ่งก็จะเป็นจริงได้แค่ไหนก็อยู่ที่ตัวเธอ ถ้าเธอสิ้นหวัง ท้อแท้ หยุดเพียรพยายาม ก็เท่ากับว่าความเพียรพยายามของแม่ตลอด ๒๐ กว่าปีแทบจะสูญเปล่า เธอคือรูปธรรมแห่งผลของความเพียรของแม่ ถ้าเธอเป็นหมอที่ดีและมีความสุข ก็แสดงว่าความเพียรแม่บรรลุผล แต่ถ้าเธอเป็นคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในการดำเนินชีวิต ก็เท่ากับว่าความเพียรของแม่สูญเปล่าหรือไปไม่ถึงเป้าหมาย มดน่าจะคิดในแง่นี้บ้าง และทุ่มเทความพยายามเพื่อการเป็นหมอที่ดี หากเธอเอาใจจดจ่อไปในทางนี้ เชื่อว่าความเศร้าเสียใจอาลัยในแม่ก็จะบรรเทาเบาบางลง |
รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล
วิสาโล www.visalo.org korobiznet
เอื้อเฟื้อพื้นที่
|
webmaster
๒๕๕๒ All
Rights ไม่ Reserved |